The Roman During the first decades.

The Roman During the first decades. there is no written law That just makes Social‘s High class use this cause in the monopoly position of government officials only for example is lord’s group , monk’s group So in 451 B.C had 10 the executive committee of rome (The decemvirs) various laws have been collected Comes supplied in a format that is easy to understand in order to minimize disputes of ordinary guys that usually in Legal for disadvantage without it looks as codified in the present but as to the take rule of raw and justice come together by writing in a simple manner become a basis of Roman’s law in more centuries later they said it’s law “Law of The Twelve Table” had the famous lawyers he’s name is Livy and Cicero they said “Law of The Twelve Table” is the important origin of both public law and private law because this had basis from law of greek but had identity of law at blend a lot of roman’s law in principle’s law and description’s law is both public law and private law and had description each table . In 1,2,3 table is “Civil Procedure And enforcement” 4 table is “authority of father as the head of the family” 5,6,7 table is “succession and property” 8 table is “criminal of penalties law” 9 table is “public law” 10 table is “law of Religion” 11 and 12 table is “law’s additional” .In “The rule of law and justice” had The rule of law and justice is five basic principles is
1.people are equal under the law.
2.a person is presumed innocent until proven guilty.
3. the accused can face accusers and defend against the charges.
4.guilt must be clearly established.
5.decisions must be based on fairness.
And one in five basic principles is “people are equal under the law” it is important rule in democracy system had main is every people under law had equality and equal in claim and law. not person had in equality and equal more than others people this is important in to prevent born disparity of legal persons. But in Thailand had the one person had autherlity more than law all law in Thailand can’t use to him. He is king of Thailand and in time king in Thailand had the name is “ King BhumibolAdulyadej”or thai people said “Rama 9”.In law had a lot of people bewildered between “Equality” and “sameness” they think certification equality of people’s status amount people sameness often dispute equality is not possible.people should understand the basics equality not and never urges all men to be the same because human had different natural for example origin , religion , Skin color , height , weight and etc. But this different not is Humans are not equal’s reason because “Equality” opposite “Inequality” this not opposite “Difference” that means human had different natural but had claim and equal or that short means is “Different but Equal”

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แบบโรมันในช่วงทศวรรษแรก มีไม่เขียนกฎหมายที่เพียงของสังคมชั้นสูงใช้สาเหตุนี้ผูกขาดตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นเช่นเป็นกลุ่มของพระเจ้า กลุ่มของพระดัง 451 B.C มี 10 คณะกรรมการบริหารของโรม (decemvirs) กฎหมายต่าง ๆ ได้รวบรวมมาในรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจเพื่อลดข้อโต้แย้งของคนธรรมดาที่มักจะอยู่ในกฎหมายสำหรับข้อเสียไม่เหมือนกับ ประมวลกฎหมายสูงใน Comes แต่ปัจจุบันเป็นกฎใช้ของวัตถุดิบและความยุติธรรมมาร่วมกัน โดยการเขียนในลักษณะที่เรียบง่ายกลายเป็นพื้นฐานของของโรมันกฎหมายในศตวรรษที่เพิ่มเติมในภายหลังว่า ของกฎหมาย "กฎหมายของเดอะ 12 ตาราง" มีทนายความที่มีชื่อเสียงที่เป็นชื่อ Livy และคิเคโรว่า "กฎหมายของตารางสิบสอง" เป็นต้นกำเนิดสำคัญของกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน เพราะนี้มีพื้นฐานจากกฎหมายของ ภาษากรีกแต่มีลักษณะเฉพาะของกฎหมายที่ ผสมผสานของกฎหมายของโรมันในหลักของกฎหมาย และคำอธิบายของกฎหมายทั้งกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน และมีคำอธิบายแต่ละตาราง ในตาราง 1,2,3 "กระบวนแพ่ง และบังคับใช้" ตาราง 4 เป็น "ผู้มีอำนาจของบิดาเป็นหัวหน้าครอบครัว" ตาราง 5,6,7 มา "สืบทอดคุณสมบัติ" ตาราง 8 คือ "ทางอาญากฎหมายโทษ" 9 ตารางคือตาราง "กฎหมายมหาชน" 10 "กฎหมายของศาสนา" ตาราง 11 และ 12 เป็น "กฎหมายเพิ่มเติม" ใน "กฎของกฎหมายและความยุติธรรม" มีกฎของกฎหมาย และความยุติธรรมเป็นหลักการพื้นฐาน 5 1.คนเท่ากันตามกฎหมาย2.a บุคคลคือ presumed ผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด3. ผู้ถูกกล่าวหาสามารถหน้ากล่าวหา และป้องค่า4.ความผิดต้องถูกก่อตั้งอย่างชัดเจน5.การตัดสินใจต้องยึดตามยุติธรรม และหลักการพื้นฐานหนึ่งในห้าคือ "คนเท่ากันภายใต้กฎหมาย " เป็นกฎในระบบประชาธิปไตยมีหลักสำคัญคือ ทุกคนภายใต้กฎหมายมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในการเรียกร้อง และกฎหมาย คนไม่มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันมากกว่าคนอื่นคนนี้มีความสำคัญในป้องกัน disparity ที่เกิดของบุคคลตามกฎหมาย แต่ในประเทศไทย มีคนที่มี autherlity มากกว่ากฎหมายกฎหมายทั้งหมดในประเทศไทยไม่สามารถใช้กับเขา เขาเป็นกษัตริย์ของประเทศไทย และในเวลาที่พระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมี ชื่อเป็น "พระ BhumibolAdulyadej" หรือคนไทยว่า "พระราม 9" กฎหมายมีคนสับสนระหว่าง "ความเท่าเทียมกัน" และ "sameness" พวกเขาคิดว่า รับรองความเสมอภาคของประชาชนสถานะยอดคน sameness มักโต้แย้งความเสมอภาคไม่ possible.people ไม่ขอก่อนส่งกลับทุกคนจะ เหมือนกัน เพราะมนุษย์มีธรรมชาติแตกต่างกันเช่นต้นกำเนิด ศาสนา สีผิว ความ สูง น้ำหนัก และฯลฯ และควรเข้าใจพื้นฐานความเสมอภาคไม่ แต่ไม่แตกต่างกันนี้เป็นมนุษย์ไม่เท่ากันของเหตุผล เพราะ "ความเท่าเทียมกัน" ตรงข้าม "อสมการ" นี้ไม่ตรงกันข้าม "แตกต่าง" ที่หมายความว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน แต่มีการเรียกร้อง และเท่า หรือหมายความว่าสั้นเท่า "แตกต่างแต่"

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

โรมันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก ไม่มีกฎหมายเขียนว่าเพียงทำให้การใช้งานระดับสูงของสังคมสาเหตุในตำแหน่งผูกขาดของเจ้าหน้าที่ของรัฐนี้เท่านั้นเช่นเป็นกลุ่มเจ้านายของกลุ่มพระดังนั้นใน 451 ปีก่อนคริสตกาลมี 10 คณะกรรมการบริหารของโรม (ใน decemvirs) กฎหมายต่างๆได้รับการเก็บรวบรวม มาจำหน่ายในรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งของคนธรรมดาที่มักจะอยู่ในทางกฎหมายในข้อเสียโดยไม่ได้ดูเหมือนว่าการประมวลผลในปัจจุบัน แต่ในฐานะที่จะใช้กฎของดิบและความยุติธรรมมาร่วมกันโดยการเขียนในลักษณะที่เรียบง่าย กลายเป็นพื้นฐานของกฎหมายโรมันในศตวรรษที่มากขึ้นต่อมาพวกเขาบอกว่ามันเป็นกฎหมาย "กฎหมายของตารางที่สิบสอง" มีนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงชื่อเขาเป็นลิวี่ซิเซโรที่พวกเขากล่าวว่า "กฏหมายของตารางสิบสอง" เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของทั้งกฎหมายภาครัฐและเอกชน กฎหมายเพราะมีพื้นฐานจากกฎหมายของกรีก แต่มีตัวตนของกฎหมายที่ผสมผสานกันอย่างมากของกฎหมายโรมันในหลักการกฎหมายและคำอธิบายของกฎหมายมีทั้งกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนและมีคำอธิบายแต่ละตาราง 1,2,3 ในตารางคือ "วิธีพิจารณาความแพ่งและการบังคับใช้" 4 ตารางคือ "อำนาจของพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว" 5,6,7 ตารางคือ "การสืบทอดและทรัพย์สิน" 8 ตารางคือ "ความผิดทางอาญาของกฎหมายบทลงโทษ" 9 ตารางคือ "กฎหมายมหาชน" 10 ตารางคือ "กฎของศาสนา" ที่ 11 และ 12 ตารางคือ "กฎหมายเพิ่มเติม" ในหัวเรื่อง "กฎของกฎหมายและความยุติธรรม" มีกฎของกฎหมายและความยุติธรรมเป็นห้าหลักการพื้นฐาน
1.people มีค่าเท่ากัน ตามกฎหมายว่าด้วย.
คน 2.a สันนิษฐานบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด.
3 ที่ถูกกล่าวหาว่าสามารถเผชิญกล่าวหาและป้องกันค่าใช้จ่าย.
4.guilt จะต้องจัดตั้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.
5.decisions ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรม.
และหนึ่งในห้าหลักการพื้นฐานคือ "คนมีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย" มันเป็นกฎที่สำคัญในระบบประชาธิปไตย มีที่สำคัญคือทุกคนภายใต้กฎหมายที่มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในการเรียกร้องและกฎหมาย ไม่ได้เป็นคนที่มีอยู่ในความเสมอภาคและเท่าเทียมกันคนมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความแตกต่างของบุคคลตามกฎหมาย แต่ในประเทศไทยมีคนคนหนึ่งที่มี autherlity มากกว่ากฎหมายกฎหมายในประเทศไทยทั้งหมดไม่สามารถใช้กับเขา เขาเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและในเวลาที่พระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีชื่อเป็น "กษัตริย์ BhumibolAdulyadej" หรือคนไทยกล่าวว่า "รัชกาลที่ 9" กฎหมายในหัวเรื่องที่มีผู้คนจำนวนมากสับสนระหว่าง "ความเท่าเทียมกัน" และ "ความเหมือนกัน" พวกเขาคิดว่าเท่าเทียมกันรับรองของผู้คน สถานะให้ผู้คนจำนวนเท่าเทียมกันเหมือนกันมักจะโต้แย้งไม่ได้ possible.people ควรเข้าใจพื้นฐานความเท่าเทียมกันไม่ได้และไม่เคยเรียกร้องให้ทุกคนที่จะเป็นเหมือนกันเพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่นต้นกำเนิดศาสนาสีผิวความสูงน้ำหนักและอื่น ๆ แต่ที่แตกต่างกันนี้ ไม่ได้มีมนุษย์เป็นเหตุผลที่ไม่เท่ากันเพราะ "ความเท่าเทียมกัน" ตรงข้าม "ความไม่เท่าเทียมกัน" นี้ไม่ได้ตรงข้าม "ความแตกต่าง" นั่นหมายความว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน แต่มีการเรียกร้องและเท่าเทียมกันหรือว่าหมายถึงสั้น ๆ คือ "ที่แตกต่างกัน แต่ที่เท่าเทียมกัน"

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

โรมันในช่วงทศวรรษแรก ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ทำให้สังคมชั้นสูงใช้สาเหตุนี้ในการผูกขาดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น เช่น กลุ่มขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระกลุ่มดังนั้นใน 9 พ.C มี 10 คณะกรรมการบริหารของกรุงโรม ( decemvirs ) กฎหมายต่าง ๆได้ถูกรวบรวมมาจัดในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อลดความขัดแย้งของคนปกติสามัญในทางกฎหมายโดยไม่ได้ดูเสียเปรียบในประมวลกฎหมายปัจจุบัน แต่เป็นการใช้กฎของวัตถุดิบและความยุติธรรมมาร่วมกัน โดยเขียนใน ลักษณะที่เรียบง่ายกลายเป็นพื้นฐานของกฎหมายของโรมันในหลายศตวรรษต่อมา พวกเขากล่าวว่ามันเป็นกฎหมาย " กฎหมายสิบสองโต๊ะ " มีทนายความที่มีชื่อเสียง เขาชื่อลิวีซิเซโรและพวกเขากล่าวว่า " กฎหมายสิบสองโต๊ะ " เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน เพราะมีพื้นฐานจากกฎหมายของกรีก แต่มีเอกลักษณ์ของกฎหมายที่ผสมผสานมากของกฎหมาย โรมันในกฎหมายหลักและกฎหมายรายละเอียดของทั้งกฎหมายมหาชนและกฎหมายส่วนตัว และมีแต่ละตารางใน 1 , 2 , 3 ตารางคือ " วิธีพิจารณาความแพ่งและการบังคับใช้ " 4 โต๊ะ เป็น " อำนาจของพ่อ เป็นเสาหลักของครอบครัว " 5,6,7 ตาราง " จาก " ทรัพย์สิน 8 โต๊ะ " ทางอาญาของกฎหมาย " บทลงโทษ 9 โต๊ะ " กฎหมายมหาชน " 10 โต๊ะ เป็น " กฎหมายศาสนา " 11 และ 12 โต๊ะ เป็น " กฎหมายเพิ่มเติม " ใน " กฎของกฎหมายและความยุติธรรม " กฎของกฎหมายและความยุติธรรมเป็นห้าหลักการพื้นฐานคือ
1ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
2 คนสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด .
3 จำเลยได้กล่าวหาและปกป้องใบหน้ากับค่าธรรมเนียม .
4.guilt ต้องก่อตั้งขึ้นอย่างชัดเจน .
5.decisions ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม
และหนึ่งในห้าหลักการพื้นฐานคือ " ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย " เป็นกฎที่สำคัญในระบบ ประชาธิปไตยมีหลักคือประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายในการเรียกร้องและกฎหมาย ไม่ใช่มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน คนมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ นี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความต่างของบุคคลตามกฎหมายแต่ในไทยก็มีคนคนหนึ่งมี autherlity มากกว่ากฎหมายกฎหมายไทยไม่สามารถใช้กับเขาได้ เขาเป็นกษัตริย์ของไทย และในไทยมีกษัตริย์ชื่อ " กษัตริย์๕ ธันวาคม " หรือคนไทยว่า " พระราม 9 "ในกฎหมายมีหลายคนสับสนระหว่าง " ความเสมอภาค " และ " ความเหมือนกัน " พวกเขาคิดว่าการรับรองความเสมอภาคของผู้คนจํานวนคนสถานะเหมือนกันมักจะความเสมอภาคข้อพิพาทไม่ possible.people ควรเข้าใจพื้นฐานความเสมอภาค ไม่เคยเรียกร้องที่จะให้ทุกคนเป็นเหมือนกัน เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นประเทศ , ศาสนา , สี , ความสูงของผิว น้ำหนัก และ ฯลฯแต่นี้ไม่แตกต่างกัน คือ มนุษย์ที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะ " ความเสมอภาค " ตรงข้าม " อสมการ " ที่ไม่ใช่ " ความแตกต่าง " ซึ่งหมายความว่า มนุษย์กับธรรมชาติ แต่ก็มีต่างเรียกร้องและเท่ากันหรือสั้นหมายถึง " ที่แตกต่างกัน แต่เท่ากับ "