Nāgārjuna explains, "The Buddha‘s teaching...is based on two truths; a truth of worldly
convention, and an ultimate truth." He goes on to claim, "Without understanding the
significance of the ultimate [truth], liberation [i.e. nirvana] is not achieved (MMK 24:8–10; Garfield 1995, 68).
It would appear, then, that he is setting a traightforward contrast between the way reality appears ordinarily, in saṃsāra, and the way it appears to enlightened beings in nirvana.
Conventional reality (saṃvṛti satya) can be presumed to be the everyday experience of the ordinary world; it includes the environment in which we operate as individuals, and which is replete with all the varied living beings and things we encounter and talk about, as well as their complex relations to each other and to ourselves. To use Nāgārjuna‘s terminology, we can say that in conventional reality,things seem to be endowed with svabhāva, a term variously translated as 'self-nature,‘self-subsistence,‘own-being,‘essence,‘intrinsic nature,‘substantiality,‘ and
'inherent existence.‘ Westerhoff argues that none of these traditional translations is able to capture the full meaning of svabhāva, and I shall be following his practice by leaving it untranslated throughout this thesis (Westerhoff 2009, 4).
Nāgārjuna อธิบาย, "สอนพุทธเจ้าของ...ตามจริงสอง ความจริงของทางประชุม และความจริงสุด" เขาไปในการเรียกร้อง, "ไม่ มีความเข้าใจความสำคัญของที่ดีสุด [ความจริง], [เช่นนิพพาน] ปลดปล่อยไม่ได้ (MMK 24:8-10 การ์ฟิลด์ 1995, 68) จะปรากฏ แล้ว เขาจะตั้ง traightforward แตกต่างระหว่างความเป็นจริงทางปรากฏปกติ ในวัฏสงสาร และวิธีไป enlightened เทพในนิพพาน สามารถ presumed จริงธรรมดา (สัตยา saṃvṛti) เป็น ประสบการณ์ชีวิตประจำวันของโลกสามัญ มีสิ่งแวดล้อมซึ่งเราทำงานเป็นรายบุคคล และซึ่งจะประกอบไป ด้วยสิ่งมีชีวิตการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันทั้งหมด และสิ่งที่เราพบ และพูดคุยเกี่ยวกับ ตลอดจนความสัมพันธ์ซับซ้อนกัน และตนเอง การใช้คำศัพท์ของ Nāgārjuna เราสามารถบอกได้ว่า ในความเป็นจริงทั่วไป สิ่งที่ดูเหมือนจะสร้าง ด้วย svabhāva คำเพิ่มแปลว่า 'ตัวเองธรรมชาติ ''ของตัวเอง เป็น ชีพตนเองสำคัญ ธรรมชาติ intrinsic,' substantiality และ"โดยธรรมชาติมีอยู่' Westerhoff จนว่า แปลดั้งเดิมเหล่านี้ไม่สามารถจับความหมายเต็มของ svabhāva และฉันจะได้ตามเขาปฏิบัติ โดยปล่อย untranslated ตลอดทั้งวิทยานิพนธ์นี้ (Westerhoff 2009, 4)
การแปล กรุณารอสักครู่..
G N อุบาสกอุบาสก rjuna อธิบายว่า " พระพุทธเจ้าสอนอะไร . . . . . . . ขึ้นอยู่กับสองความจริง ; ความจริงของการประชุมทางโลก
และปรมัตถ์ " เขาก็จะอ้างว่า " ไม่มีความเข้าใจ
ความสำคัญของ ] ความจริง [ , ปลดปล่อย [ คือ ] ไม่บรรลุนิพพาน ( MMK 24 : 8 – 10 การ์ฟิลด์ 1995 ; 68 )
ก็ปรากฏแล้วว่าเขาคือการตั้งค่า traightforward ความแตกต่างระหว่างวิธีจริงปรากฏแล้ว ในกฎอัยการศึก และวิธีที่มันจะปรากฏขึ้นแล้วเทพในนิพพาน
ความจริงธรรมดา ( ซาṃ V ṛทิ ฯ ) สามารถสันนิษฐานว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิตประจําวันของโลกทั่วไป รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เราใช้เฉพาะบุคคลและที่เป็นประกอบไปด้วยทั้งหมดหลากหลายสิ่งมีชีวิต และสิ่งที่เราพบและคุยกัน อย่างซับซ้อน ความสัมพันธ์กับแต่ละอื่น ๆและเพื่อตัวเราเอง ใช้ N G คำศัพท์อุบาสกอุบาสก rjuna เราสามารถพูดได้ว่า ในความเป็นจริง ธรรมดา สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น endowed กับ svabh อุบาสก VA , ระยะนานาเนกแปลเป็น ' ธรรมชาติ ตนเอง 'self-subsistence 'own-being 'essence 'intrinsic , , , ธรรมชาติ' '
'inherent substantiality และการดำรงอยู่ของ westerhoff แย้งว่าไม่มีการแปลแบบดั้งเดิมเหล่านี้จะสามารถจับความหมายเต็ม svabh อุบาสก VA , และฉันก็จะตามเขาฝึก โดยแปลวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มันออกตลอด ( westerhoff 2009 , 4 )
การแปล กรุณารอสักครู่..