ความน่าสนใจของ Avengers: Age of Ultron คือการที่ผู้กำกับอย่างจอช วีดอนที่เคยกำกับเรื่องราวของเหล่าอเวนเจอร์ภาคแรกมาแล้วครั้งหนึ่ง เขายังรู้ตัวดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และมีใครบ้างที่กำลังรอคอยเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้อยู่ วิธีการเล่าเรื่องราวในภาคนี้จึงเลือกที่จะไปหยิบ “อดีต” ของตัวละครแต่ละตัวเอามาขยี้ผ่านช่วงเวลาที่สการ์เลตวิชช์ร่ายพลังให้พวกเขาต้องตกอยู่ในภวังค์ การที่ฮีโร่แต่ละคนได้เข้าไปสำรวจจิตใจของตัวเองนั้นยิ่งทำให้ผู้ชมเห็นด้านที่เปราะบางของพวกเขา
นอกเหนือจากฉากสมนาคุณแฟนๆให้สาแก่ใจ โดยเฉพาะบรรดาฉากแอ็คชั่น ต่อสู้ วินาศสันตะโรที่ยัดทะนานมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนท้ายเรื่องนั้น เรียกได้ว่านอกจากจะสร้างความลุ้นระทึกให้กับผู้ชมจดจ่อไปกับการต่อสู้ระหว่างแก๊งอเวนเจอร์กับเหล่าอัลตรอน หรือการปะทะกันระหว่างฮีโร่หน้าเก่ากับสองพี่น้องฝาแฝดควิกซ์ซิลเวอร์และสการ์เลตวิชช์ หรือฉากไฮไลท์ตอนท้ายเรื่องที่เมืองทั้งเมืองถูกยกลอยขึ้นไปบนอากาศและมีบรรดาชาวเมืองเป็นตัวประกัน ต่างก็เรียกได้ว่าน่า “ตื่นตา” ตื่นใจมากๆ
อย่างไรก็ตามโทนหนังของ Age of Ultron คือการปิดฉากของมาร์เวลเฟสที่ 2 ลงและกรุยทางสู่มาร์เวลเฟสที่ 3 ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อบรรดาฮีโร่แต่ละคนก็ดูจะมี “ปมในจิตใจ” ที่น่าจะสร้างรอยร้าวบางอย่างที่เราน่าจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นใน Captain America: Civil War ซึ่งตัวกัปตันอเมริกาจะเกิดการแตกหักกับไอรอนแมน ซึ่งในภาคนี้เราก็ได้เห็นแนวคิดเรื่องสติปัญญาประดิษฐ์ซึ่งโทนี่ สตาร์คอยากจะพัฒนาให้โครงการนี้เป็นรูปเป็นร่าง ในขณะที่สตีฟ โรเจอร์กลับไม่เห็นด้วยและถึงขั้นลงไม้ลงมือกันตอนที่พวกเขาพยายามจะปลุกชีพ “วิชชั่น” ขึ้นมาจากการอัพโหลด “จิต” ของจาวิสเข้าไป
ภาพรวมของ Avengers: Age of Ultron คือหนังที่สามารถตอบโจทย์ความบันเทิงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและวางรากฐานในบรรดาแฟนหนังยังคงอยากจะติดตามเรื่องราวภาคแยกของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ค่ายนี้ต่อไปกันอย่างแน่นอน