ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาทักษะรายวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้ชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคร้อห้วยชัน(แย้มมงคลสินธุ์)
ชื่อผู้วิจัย นางสาวกนกกร พิไลกุล
วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
ครูพี่เลี้ยง อาจารย์วัชรินทร์ ทรัพย์จิตร
ชื่อโรงเรียน โรงเรียนบ้านคร้อห้วยชัน(แย้มมงคลสินธุ์)
อาจารย์ที่ปรึกษา นายสุรสิทธิ์ ปาลสาร
ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การพัฒนาทักษะรายวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้ชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม เพื่อเพื่อพัฒนาชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 หาค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปีที่6
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ของโรงเรียนในศูนย์เครือข่ายห้วยต้อนนาฝาย 15 โรงเรียนจำนวน 225 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคร้อห้วยชัน(แย้มมงคลสินธุ์) ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 8 คน ซึ่งได้โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้ามี3ชนิดคือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 16 แผน ชุดการสอนคณิตศาสตร์เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยมจำนวน 15 ชุด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 30 ข้อสถิติที่ใช้คือร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังนี้
1. ชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยมชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 88.45/80.42 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยมชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ 0.69
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยชุดการสอนคณิตศาสตร์เรื่องการบวก การ
ลบ การคูณ และการหารทศนิยมชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01