From 1950 to 1980, the so called “G

From 1950 to 1980, the so called “Green Revolution” swept the world. World food production doubled with the introduction of a new approach to agriculture. Ii involved teh large-scale cultivation use of types of grain (Wheat, corn, and rice), and the extensive use of chemicals an farm machinery.

These features were the cause of the early, enormous succes of this “revolution”. However, the “green revolution” methods no longer appear to be so succesful. Though the population continues to grow, food production has failed to keep up with it. There are a number of reasons for this. One reason lies in the expense of the new farming methods. The new kinds of grain produce much more than traditional grains, but only under certain conditions. In order to get maximum production, farmers must use large amounts of expensive chemical fertilizers. They also need to use expensive chemical insecticides since the new grains are more easily damaged by insects. Expensive wattering systems are also necessary for these grains, especially in drier areas. many farmers cannot afford to buy all the chemical and equipment.

Erosion is another reason for the lower grain production. The large-scale farming of single crop creates the perfect conditions for erosion, In dry areas, especially, the loss of top soil has lowered the productiviti of the land. In these areas, also, grain production has been limited by the lack of water. The new types of grain, in fact, require much more water than the grain people used to grow.

Yet another reason for lower production lies in the nature of the chemicals that farmers have used. Though, these fertilizers and pesticides raise production levels at first, they must be used in incriesing amounts after that. Many farmers cannot afford to buy more, and so production decreases. These chemical have other effects that are expensive in the long run.They flow into the ground water, causing pollution and health problems. As people learn about these problems, they put pressure on farmers further limit their use of chemicals.

Finally, the Green Revolution has brought about social and political conflict that has interfered with food production. The problem lies in the coast of new agricultural methods. Only the larger landowners can afford to make the necessary investments for maximum production of the grains. With their profits, the large landowners then buy land from the smaller farmers. This way, the large landowners become ever richer and the number of landless poor people increases. Social tensions naturally increase in this situation.

Clearly, it is time to question the methods of the Green Revolution. Governments and farmers need to look at the overall picture ang long-term effects. They need to find new methods that will better meet the need of the world’s hungry people and will also be less destructive.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

จากปี 1950 ถึง 1980 การสิ่งที่เรียกว่า "เขียวปฏิวัติ" กวาดโลก ผลิตอาหารของโลกสองเท่า ด้วยการแนะนำวิธีการเกษตรใหม่ Ii การใช้เพาะปลูกขนาดใหญ่ชนิดเม็ด (ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว) ที่เกี่ยวข้อง และครอบคลุมการใช้สารเคมีเครื่องจักรการเกษตรคุณลักษณะเหล่านี้สาเหตุของความสำเร็จมหาศาล ช่วงของการ "ปฏิวัติ" นี้ได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการ "ปฏิวัติเขียว" ไม่ต้อง สำเร็จให้ แม้ว่าประชากรยังคงเติบโต ผลิตอาหารล้มเหลวเพื่อให้ทันกับ ประการนี้ได้ เหตุผลหนึ่งที่อยู่ในค่าใช้จ่ายของวิธีการทำนาใหม่ พันธุ์ข้าวใหม่ผลิตมากกว่าธัญพืชดั้งเดิม แต่เฉพาะภายใต้เงื่อนไขบางประการ เพื่อให้ได้สูงสุดผลิต เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยเคมีราคาแพงจำนวนมาก พวกเขายังจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงสารเคมีที่มีราคาแพงเนื่องจากธัญพืชใหม่จะเสียหายได้ง่ายขึ้น โดยแมลง ระบบ wattering ที่มีราคาแพงก็จำเป็นสำหรับธัญพืชเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แห้ง เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถซื้อสารเคมีและอุปกรณ์ทั้งหมดกัดเซาะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการผลิตข้าวลดลง ฟาร์มขนาดใหญ่ของพืชเดียวสร้างเงื่อนไขเหมาะสำหรับกัดเซาะ ในพื้นที่แห้ง โดยเฉพาะ การสูญเสียของดินด้านบนได้ลดลง productiviti ของแผ่นดิน ในพื้นที่เหล่านี้ ยัง ธัญญาหารได้ถูกจำกัด โดยการขาดน้ำ ชนิดใหม่ของข้าว ในความเป็นจริง ต้องการน้ำมากขึ้นกว่าคนข้าวที่ใช้ในการเจริญเติบโตแต่ อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการผลิตที่ต่ำกว่าอยู่ในลักษณะของสารเคมีที่เกษตรกรใช้ ถึงแม้ว่า ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเหล่านี้ยกระดับการผลิตครั้งแรก พวกเขาต้องใช้ในจำนวน incriesing หลังจากที่ เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถซื้อเพิ่มเติม และเพื่อ ลดการผลิต สารเคมีเหล่านี้มีลักษณะพิเศษอื่น ๆ ที่มีราคาแพงในระยะยาวจะไหลเข้าของน้ำใต้ดิน ทำให้เกิดปัญหามลภาวะและสุขภาพ เป็นคนเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ พวกเขาดันในวงเงินเพิ่มเติมของเกษตรกรใช้สารเคมีในที่สุด การปฏิวัติสีเขียวได้มาเกี่ยวกับความขัดแย้งทางสังคม และการเมืองที่มีติดกับการผลิตอาหาร ปัญหาอยู่ในฝั่งของเกษตรวิธีใหม่ เฉพาะแก่ใหญ่สามารถจะทำให้การลงทุนที่จำเป็นสำหรับการผลิตสูงสุดของเกรน ด้วยผลกำไรของพวกเขา แก่ใหญ่แล้วซื้อที่ดินจากเกษตรกรขนาดเล็ก ด้วยวิธีนี้ แก่ใหญ่เป็นเคยขึ้น และเพิ่มจำนวนคนจน landless ธรรมชาติเพิ่มความตึงเครียดทางสังคมในสถานการณ์นี้เห็นได้ชัด ถึงเวลาคำถามวิธีการปฏิวัติเขียว รัฐบาลและเกษตรกรจำเป็นต้องดูผลกระทบระยะยาวอ่างทองรูปภาพโดยรวม ก็ต้องหาวิธีใหม่ที่จะสนองความต้องการของคนหิวในโลก และยังจะทำลายน้อย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

จาก 1950 ถึง 1980 จึงเรียกว่า " การปฏิวัติเขียว " กวาดโลก การผลิตอาหารของโลกเป็นสองเท่าด้วยการแนะนำวิธีการใหม่เพื่อการเกษตร 2 เกี่ยวข้องกับเต๋ขนาดใหญ่ใช้ประเภทของการปลูกธัญพืช ( ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว ) และใช้อย่างกว้างขวางของสารเคมีฟาร์มเครื่องจักร

คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสาเหตุของต้นมหึมาความสำเร็จของ " การปฏิวัติ " อย่างไรก็ตาม" การปฏิวัติเขียว " วิธีการที่ไม่ปรากฏเป็นจึงจะสำเร็จ แม้ว่าประชากรยังคงเติบโต การผลิตอาหารล้มเหลวเพื่อให้ทันกับมัน มีจำนวนของเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เหตุผลหนึ่งที่อยู่ในค่าใช้จ่ายของวิธีฟาร์มใหม่ ชนิดใหม่ของเมล็ดข้าวที่ผลิตมากกว่าธัญพืชแบบดั้งเดิม แต่ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง เพื่อที่จะได้รับผลผลิตสูงสุดเกษตรกรต้องใช้จำนวนมากของปุ๋ยเคมีราคาแพง พวกเขายังต้องใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีราคาแพงตั้งแต่เม็ดใหม่จะเสียหายได้ง่ายขึ้น โดยแมลง ระบบ wattering แพงยังเป็นธัญพืชเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แห้ง เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถซื้อสารเคมีและอุปกรณ์

กัดเซาะเป็นอีกเหตุผลที่ลดเม็ดผลิตฟาร์มขนาดใหญ่ของเดียวสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกพืชในพื้นที่แห้ง โดยเฉพาะการสูญเสียหน้าดินได้ลดลง productiviti แห่งแผ่นดิน ในพื้นที่เหล่านี้ยังได้รับการ จำกัด การผลิตข้าวจากการขาดแคลนน้ำ รูปแบบใหม่ของเมล็ด ในความเป็นจริง ต้องการน้ำมากกว่าคน ใช้เมล็ดปลูก

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่การผลิตลดลงอยู่ในธรรมชาติของสารเคมีที่เกษตรกรได้ใช้ แม้ว่า ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเพิ่มระดับการผลิตที่แรก พวกเขาจะต้องใช้ incriesing ปริมาณหลังจากนั้น เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถซื้อเพิ่ม และลดการผลิต สารเคมีเหล่านี้มีผลกระทบอื่น ๆที่มีราคาแพงในระยะยาว มันไหลลงดินน้ำก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นคนเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ พวกเขากดดันเกษตรกรเพิ่มเติมขีดจำกัดการใช้สารเคมี

ในที่สุดการปฏิวัติเขียวได้นำเรื่องความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงกับการผลิตอาหาร ปัญหาอยู่ในฝั่งของวิธีเกษตรใหม่แต่เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่สามารถที่จะทำให้การลงทุนที่จำเป็นสำหรับการผลิตสูงสุดของธัญพืช กับผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่แล้ว ซื้อที่ดินจากเกษตรกรขนาดเล็ก วิธีนี้เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่กลายเป็นเคยรวยและจำนวนคนจนไร้ที่ดินเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดทางสังคมโดยธรรมชาติเพิ่มในสถานการณ์นี้

ได้ชัดเจนมันเป็นเวลาที่จะถามวิธีการของการปฏิวัติเขียว รัฐบาลและเกษตรกรต้องมองภาพรวมและระยะยาวผลข้างเคียง พวกเขาต้องการเพื่อหาวิธีการใหม่ที่จะตอบสนองความต้องการของคนหิวของโลกและจะถูกทำลายน้อยลง