ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบอัตราการตกตะกอนของน้ำโคลน และทำการวิเคราะห์ผลเมื่อทำการใส่ตัวเร่งเข้าไปในน้ำโคลนได้แก่ สารส้ม, ปูนขาว และโซดาไฟ โดยทำการทดลองหาปริมาณที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่อุณหภูมิต่างๆ และค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำโคลนก่อนที่จะบำบัดปล่อยสู่คืนธรรมชาติ น้ำโคลนที่ใช้เป็นน้ำโคลนแบบที่ใช้น้ำเป็นหลักทำการวัดค่าความหนาแน่นและค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำโคลนเมื่อผสมตัวเร่งต่างๆ ผลที่ได้จากการทดลองพบว่าน้ำโคลนสูตรมาตรฐาน 100 ลบ.ซม.ที่ผสมกับ สารส้ม โซดาไฟ และปูนขาว พบว่าโซดาไฟมีความสามารถในการทำให้น้ำโคลนเกิดการตกตะกอนได้ดีที่สุดเมื่อใส่ร้อยละ 70 โดยน้ำหนัก ที่อุณหภูมิ 33-35°C สามารถทำให้มีปริมาณน้ำที่เกิดการตกตะกอนเฉลี่ยอยู่ที่ 62.5 ml มีตะกอนคงเหลือ 72.5 ml โดยใช้เวลาในการตกตะกอนทั้งหมด 1 วันที่มีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 8.10 (pH ของน้ำที่ตกตะกอน) 7.80 (pH ของเนื้อตกตะกอน) รองลงมาจะเป็นสารส้มที่ร้อยละ 10 โดยน้ำหนัก ที่อุณหภูมิ 33-35°C สามารถทำให้มีปริมาณที่น้ำเกิดการตกตะกอนเฉลี่ยอยู่ที่ 17 ml มีตะกอนคงเหลือ 62.5 ml ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 4.27 (pH ของน้ำที่ตกตะกอน) 4.27 (pH ของเนื้อตกตะกอน)ซึ่งตะกอนที่เหลือมีขนาดบางกว่าการใส่โซดาไฟ แต่การใช้สารส้มจะมีปัจจัยหลักมาเกี่ยวคือ อุณหภูมิ สารส้มจะออกฤทธิ์ได้ดีที่อุณหภูมิสูง และปริมาณที่เหมาะสมในการเติมลงไปในน้ำโคลนก็จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเป็นหลัก ซึ่งต่างจากโซดาไฟที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยาคายความร้อน และสารส้มใช้เวลาในการตกตะกอนทั้งหมด 4 วันซึ่งช้ากว่าโซดาไฟอยู่ถึงสี่เท่าและมีประสิทธิภาพน้อยกว่าถึงสามเท่าโดยประมาณ ส่วนน้ำโคลนที่ผสมปูนขาวจะไม่เกิดการทำให้เกิดการตกตะกอน ซึ่งปูนขาวเหมาะสำหรับการปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง มากกว่าการเป็นตัวเร่งในการตกตะกอนเพราะมีความเสถียรมากกว่าโซดาไฟ