The first one is that the program p

The first one is that the program p′ necessarily outputs an encryption of the desired result, not the result itself. This means that the cloud cannot take action based on the result of the computation—it only has an encryption of the result, which it cannot decrypt. Naturally, randomised encryption is used (for otherwise there is no security at all), and therefore even the encryption of a binary output—true or false—tells the cloud nothing about the output itself. Suppose one wished to do email spam filtering in the cloud. We suppose that the cloud has a set of encrypted messages, and a program p which, when applied to a message, determines whether the message is spam or not. The cloud can run p′ on a given encrypted message, resulting in an encrypted Boolean indicating whether the message is spam. Because of the mentioned limitation, the cloud cannot throw away the message if it is spam; instead, it can return the encrypted Boolean to the user, who can decrypt it and herself throw away the offending message. In other words, the cloud can do spam detection, but cannot do spam filtering. This may mean that the user is continually called upon as a decryption oracle, decrypting results to enable the cloud to take actions. Moreover, the user is required to evaluate each time whether it is appropriate to decrypt or not. If she decrypts carelessly, she may accidentally disclose confidential data to the cloud; yet, it may not be easy for her to determine whether a particular decryption is safe or not. It seems unclear whether a practical application of cloud computing could work satisfactorily in this way.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

คนแรกคือโปรแกรม p 'จำเป็นต้องออกเข้ารหัสของผลที่ต้องการไม่ได้ผลของตัวเอง นี้หมายความว่าเมฆไม่สามารถดำเนินการตามผลของการคำนวณที่มีการเข้ารหัสของผลซึ่งมันไม่สามารถถอดรหัสเพียง ธรรมชาติ, การเข้ารหัสแบบสุ่ม (ที่ใช้ในการอย่างอื่นที่มีการรักษาความปลอดภัยที่ทุกคน)และดังนั้นจึงได้เข้ารหัสไบนารีที่ส่งออกจริงหรือเท็จบอกอะไรเกี่ยวกับเมฆออกตัวเอง คิดว่าหนึ่งอยากจะทำกรองอีเมลขยะในเมฆ เราคิดว่าเมฆมีชุดของข้อความที่เข้ารหัสและโปรแกรมพีซึ่งเมื่อนำไปใช้กับข้อความที่กำหนดว่าข้อความเป็นสแปมหรือไม่ เมฆสามารถเรียก p 'กับข้อความที่เข้ารหัสที่กำหนดมีผลในการเข้ารหัสแบบบูลระบุว่าข้อความเป็นสแปม เพราะข้อ จำกัด ที่กล่าวถึงเมฆไม่สามารถทิ้งข้อความว่าเป็นสแปมแทนก็สามารถกลับตรรกะเข้ารหัสให้กับผู้ใช้ที่สามารถถอดรหัสและตัวเองทิ้งข้อความที่กระทำผิด ในคำอื่น ๆ เมฆจะทำการตรวจสอบสแปม แต่ไม่สามารถทำกรองสแปมนี้อาจหมายถึงว่าผู้ใช้จะเรียกอย่างต่อเนื่องเมื่อเป็นคำทำนายถอดรหัส, ถอดรหัสผลเพื่อช่วยให้เมฆที่จะมีการดำเนินการ นอกจากนี้ผู้ใช้จะต้องมีการประเมินแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมที่จะถอดรหัสหรือไม่ ถ้าเธอถอดรหัสลวกเธอตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับไปยังเมฆ; ยังมันอาจจะไม่ง่ายสำหรับเธอเพื่อตรวจสอบว่าการถอดรหัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความปลอดภัยหรือไม่ ดูเหมือนว่าไม่มีความชัดเจนว่าโปรแกรมการปฏิบัติของเมฆคอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่น่าพอใจในวิธีนี้.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

คนแรกก็คือ ว่า p′ โปรแกรมเข้ารหัสการระบุผลลัพธ์ ผลลัพธ์เองไม่จำเป็นต้องแสดงผล หมายความ ว่า เมฆไม่ดำเนินตามผลลัพธ์ของการคำนวณซึ่งมีเพียงการเข้ารหัสลับผล มันไม่สามารถถอดรหัส ธรรมชาติ ใช้เข้ารหัส randomised (สำหรับงานมิฉะนั้น จะไม่ทั้งหมด), และดังนั้น การเข้ารหัสผลไบนารี – true หรือ false — บอกเมฆไม่มีอะไรเกี่ยวกับการแสดงผลเอง สมมติว่า หนึ่งปรารถนาอีเมล์สแปมที่กรองในเมฆ เราสมมติว่า เมฆมีชุดของข้อความที่เข้ารหัสลับ และโปรแกรม p ซึ่ง เมื่อใช้กับข้อความ กำหนดว่า ข้อความเป็นสแปม หรือไม่ เมฆสามารถรัน p′ บนข้อความเข้ารหัสกำหนด เกิดขึ้นในการบ่งชี้ว่า ข้อความสแปมบูลีนการเข้ารหัสลับ เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าว เมฆไม่สามารถทิ้งข้อความถ้ามันคือสแปม แทน มันสามารถกลับบูลีนการเข้ารหัสผู้ใช้ ที่สามารถถอดรหัสและตัวเองโยนไปข้อความค่า ในคำอื่น ๆ เมฆทำสแปมตรวจ แต่ไม่สแปมกรองได้ นี้อาจหมายความ ว่า ผู้ใช้อย่างต่อเนื่องคือเมื่อเป็น oracle การถอดรหัส ถอดรหัสผลให้ก้อนเมฆเพื่อดำเนินการ นอกจากนี้ ผู้ใช้จะต้องประเมินกันว่าสมควรที่จะถอดรหัสลับ หรือไม่ ถ้าเธอ decrypts ลวก ๆ เธออาจเปิดเผยข้อมูลลับเมฆ ตั้งใจ ยัง มันไม่ได้ง่ายสำหรับเธอกำหนดว่า ถอดเฉพาะจะปลอดภัย หรือไม่ ดูเหมือนว่าชัดเจนว่าภาคของเมฆที่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานผ่านวิธีนี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

คนแรกที่ได้เป็นว่าโปรแกรมที่ P 'จำเป็นต้องเอาต์พุตการเข้ารหัสของที่ต้องการทำให้ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ซึ่งหมายความว่ากลุ่มเมฆที่ไม่สามารถดำเนินการตามผลที่ได้จากมาตรวัดที่มีการเข้ารหัสของผลที่ได้ซึ่งจะไม่สามารถถอดรหัส เป็นธรรมชาติมีการใช้การเข้ารหัส randomised (สำหรับเป็นอย่างอื่นไม่มีการรักษาความ ปลอดภัย ที่ทั้งหมด)และแม้การเข้ารหัสของไบนารีที่เอาต์พุต - จริงหรือเท็จ - บอกให้กลุ่มเมฆที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผลที่ได้ในตัวมันเอง หนึ่งคิดว่าอยากจะทำการกรองสแปมอีเมลในเมฆ เราคิดว่าที่มีเมฆที่ตั้งของข้อความที่เข้ารหัสและโปรแกรม P ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับข้อความจะเป็นตัวกำหนดว่าจะให้ข้อความเป็นสแปมหรือไม่. ก้อนเมฆสามารถรัน P 'บนที่ได้ให้ไว้เข้ารหัสข้อความส่งผลให้ในที่เข้ารหัสด้วย Boolean แจ้งว่าข้อความที่เป็นสแปม เนื่องจากมีการจำกัดกล่าวถึงก้อนเมฆที่ไม่สามารถทิ้งข้อความนั้นหากเป็นสแปมแต่ไม่สามารถกลับไปเข้ารหัสด้วย Boolean ในการผู้ใช้ที่สามารถถอดรหัสและตัวเธอเองไม่มีปัญหาที่อยู่ห่างออกไปในข้อความ ในคำอื่นๆเมฆที่สามารถทำการตรวจหาสแปมแต่ไม่สามารถที่จะทำการกรองสแปมซึ่งอาจหมายความว่าผู้ใช้ที่มีชื่อว่าเมื่ออยู่ในผลการถอดรหัสลับ Oracle การถอดรหัสที่จะเปิดใช้งานเมฆที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้จะต้องประเมินผลในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นที่เหมาะสมในการถอดรหัสหรือไม่ หากว่าเธอจะถอดรหัสอย่างไม่ใส่ใจเธออาจเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับไปที่สัญลักษณ์เมฆก้อนที่ยังไม่ได้ตั้งใจได้คุณอาจจะไม่ได้อย่างง่ายดายสำหรับเธอในการตรวจสอบไม่ว่าจะการถอดรหัสเฉพาะที่มีความ ปลอดภัย หรือไม่ มันดูเหมือนจะไม่ชัดเจนว่าแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้จริงของการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆจะทำงานอยู่ในเกณฑ์ดีในลักษณะนี้.