บทคัดย่อ
สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษากระบวนการยุติธรรมในพระวินัยปิฎก ๒) เพื่อศึกษาพัฒนาการกระบวนการยุติธรรมในคณะสงฆ์ไทย
กระบวนการยุติธรรม หมายถึง กระบวนการที่ใช้บังคับ ตัดสิน และลงโทษผู้กระทำความผิด ส่วนพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นกรอบแห่งการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์และวิธีปฏิบัติในการระงับความผิดหรือข้อขัดแย้งที่เรียกว่าอธิกรณ์และการลงโทษที่เรียกว่านิคหกรรม อธิกรณ์ คือ เรื่องราวที่เกิดขั้นในกระบวนการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ที่ต่างสงเคราะห์เกื้อกูลซึ่งกันและกันเพื่อการปฏิบัติสู่เป้าหมายเดียวกันย่อมจะมีสิ่งอันเป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคต่อการประพฤติพรหมจรรย์ที่เรียกว่า อธิกรณ์ ซึ่งมี ๔ ประเภท คือ ๑) อธิกรณ์ที่สืบเนื่องมาจากการโต้แย้งโต้เถียงกันเรื่องพระธรรมพระวินัย ๒) อธิกรณ์อันสืบเนื่องมาจากการกล่าวหากันด้วยเรื่องละเมิดพระวินัยเพราะไม่ปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ๓) อธิกรณ์อันสืบเนื่องมาจากการยอมรับผิดและการรับโทษตามข้อกำหนดแห่งพระวินัย ๔) อธิกรณ์อันสืบเนื่องมาจากการที่พระภิกษุสงฆ์ต้องทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อความบริสุทธิ์ของพระภิกษุและคณะสงฆ์ นิคหกรรมเป็นมาตรการทางพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ใช้เป็นเครื่องข่ม กำราบ หรือลงโทษแก่พระภิกษุที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยหรือแก่คฤหัสถ์ผู้มีความปรารถนาที่ไม่ดีต่อพระรัตนตรัย โดยทรงวางกฏเกณฑ์การลงโทษตามสมควร คือ ๑) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงตัชชนียกรรม ๒) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงนิยสกรรม ๓) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงปัพพาชนียกรรม ๔) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม ๕) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ๖) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงตัสสปาปิยสิกากรรม ๗) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ทำปกาสนียกรรม ๘) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงปัตตนิกุชชนกรรม ๙) การทำผิดที่เป็นเหตุให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑกรรม พระพุทธองค์ทรงบัญญัติวิธีการระงับนิคหกรรมไว้ ๖ วิธี คือ ๑).วิธีการระงับตัชชนียกรรม ๒).วิธีการระงับนิยสกรรม ๓).วิธีการระงับปัพพาชนียกรรม ๔).วิธีการระงับปฎิสารณียกรรม ๕).วิธีการระงับอุกเขปนียกรรม ๖)วิธีการระงับตัสสปาปิยสิกากรรม นิคหกรรมมีขั้นตอนดำเนินการเริ่มตั้งแต่การลงนิคหกรรมไปจนถึงการระงับนิคหกรรม ซึ่งดำเนินการโดยสงฆ์ องค์คณะผู้พิจารณาก็เป็นสงฆ์ ส่วนกระบวนการระงับนิคหกรรมพระพุทธเจ้าทรงวางระเบียบปฏิบัติไว้ว่าเมื่อผู้ที่ถูกสงฆ์ลงนิคหกรรมแล้วกลับประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง กลับตัวได้แล้วมาขอให้สงฆ์ระงับนิคหกรรม สงฆ์ก็จะระงับนิคหกรรมให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ญัตติทุติกรรมวาจาหรือด้วยวิธีการตามขั้นตอนที่ทรงอนุญาตไว้ในกรณีที่พระภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงนิคหกรรมแล้วต่อมาลาสิกขาพ้นจากความเป็นพระภิกษุ นิคหกรรมของพระภิกษุรูปนั้นก็เป็นอันระงับ
พัฒนาการกระบวนการยุติธรรมในคณะสงฆ์ไทย เริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน นอกจากจะมีพระธรรมวินัยแล้ว ต้องอาศัยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เป็นเกณฑ์ในการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์เพื่อคงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และปรับปรุงเรื่อยมาจนปัจจุบัน ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นหลัก เมื่อพระสงฆ์ละเมิดพระธรรมวินัย ก็จะพิจารณาวินิจฉัยลงโทษตามฐานความผิด คือ ๑)นิคหกรรมให้สึก ๒)นิคหกรรมไม่ถึงให้สึก
ประโยชน์ในการศึกษากระบวนการยุติธรรมในคณะสงฆ์ไทย คือ การใช้กฎนิคหกรรมเป็นหลักในการลงโทษผู้ฝ่าฝืนให้เกิดความสงบสุขเป็นธรรม มีความสัมพันธ์กับศีลธรรมและจริยธรรม เป็นมาตรการทางพระวินัย เป็นเครื่องมือสำหรับข่ม กำราบ หรือลงโทษ ผู้ที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรม โดยการลงโทษตามสมควรแก่ความผิด ให้พระภิกษุประพฤติปฏิบัติในกรอบพระธรรมวินัย และเป็นแบบอย่างที่ดีในการถ่ายทอดพระธรรมคำสอนของพระศาสดาแก่คนในสังคมไทยให้เป็นคนดีมีศีลธรรมและจริยธรรม ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยดีงามในสังคม