ลักษณะการศึกษาภาษาตามแนวภาษาศาสตร์
การศึกษาภาษาของนักภาษาศาสตร์ มีลักษณะสำคัญอยู่ ๒ ประการ โดยศรีวิไล พลมณี (๒๕๔๕ : ๑๖ – ๑๗) ได้กล่าวไว้ดังต่อไป
๑. ศึกษาภาษาด้วยวิธีวิทยาศาสตร์
วิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ มีการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ในการทดลอง ตลอดจนผลการศึกษาทดลองนั้นจะต้องพิสูจน์ได้ การศึกษาจึงเน้นการปฏิบัติทดลองจริง (Empirical) ความเที่ยงแท้แน่นอน (Exact) และความเป็นวัตถุวิสัย (Objective) นักภาษาศาสตร์นั้นเมื่อสนใจภาษาใดจะใช้ความพยายามแยกแยะภาษานั้นออกมาเพื่อดูว่าภาษานั้นมีองค์ประกอบอย่างไร เหมือนช่างเครื่องยนต์ที่รื้อส่วนประกอบของเครื่องยนต์ออกมาดู
ไม่ได้หมายความว่า การศึกษาแบบเดิมนั้นจะขาดความเที่ยงตรงเสมอไป เพราะข้อมูลจากการศึกษาโดยวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วิธีวิทยาศาสตร์ก็มีความเที่ยงตรงได้ เพื่อความเข้าใจเราอาจเปรียบเทียบการศึกษาภาษา ๒ วิธี คือ วิธีวิทยาศาสตร์ กับวิธีมนุษยศาสตร์ ซึ่ง ๒ วิธีนี้มีความแตกต่างกันมาก การศึกษาภาษาส่วนใหญ่ที่ทำกันมานั้น เป็นการศึกษาทางมนุษยศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายจะสร้างคุณค่าทางมนุษยศาสตร์ เป็นวิธีอัตวิสัยต้องใช้ความคิด ความรู้สึกในการรับระบบคุณค่า ซึ่งเป็นบรรทัดฐาน ดังตัวอย่างคำจำกัดความของคำนามที่ว่า “คำนามคือคำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ” การเข้าใจเรื่องคำนาม โดยคำจำกัดความนี้ต้องอาศัยความเข้าใจแบบอัตวิสัยที่ตรงกัน นักภาษาศาสตร์ไม่ได้ตำหนิการศึกษาภาษาแบบเดิมตรงวิธีการที่เป็นวิธีการทางมนุษยศาสตร์ แต่เป็นเพราะการศึกษาแบบเดิมนั้นมีข้อบกพร่องในวิธีการ จึงทำให้ขาดความเที่ยงตรงไป
๒. การศึกษาภาษาศาสตร์เป็นการบรรยายภาษา
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งของการศึกษาภาษาเชิงภาษาศาสตร์กับการศึกษาแบบเดิม นอกจากวิธีการแล้ว ก็คือลักษณะของผลที่ได้จากการศึกษา กล่าวคือ นักภาษาศาสตร์จะบรรยายภาษาตามผลการศึกษาทดลอง หรือจากการสำรวจ ตรวจสอบภาษา ส่วนนักภาษาแบบเดิมจะกำหนดหรือสั่งภาษา โดยถือเป็นหน้าที่ของนักไวยากรณ์ภาษาและครูสอนหลักภาษาในโรงเรียนทั่ว ๆ ไปที่จะต้องให้กฎเกณฑ์ว่าควรพูดอย่างไรจึงจะถูก เพราะสังคมผู้ใช้ภาษานั้น ๆ สื่อสารกันจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินผลของการใช้ภาษาสื่อสารเอง ความต่างกันของนักภาษาศาสตร์กับนักไวยากรณ์ภาษาก็คือ ความแตกต่างของเป้าหมายการศึกษาว่า มุ่งความเป็นวิทยาศาสตร์หรือมุ่งทางมนุษยศาสตร์ทั้ง ๒ เป้าหมายล้วนมีความสำคัญในแง่มุมของตนทั้งนั้น