Functional programming versus other

Functional programming versus other paradigms
A main difference between Erlang and more popular languages is that Erlang is primarily a functional programming language. This has nothing to do with whether it supports functions, but is related to how the operation of programs and components works.
With functional programming, the functions and operations of the language are designed in a similar way to mathematical calculations, in that the language operates on functions taking input and generating a result. The functional programming paradigm means that the individual blocks of code can produce consistent output values for the same input values. This makes predicting the output of the function or program much easier and, therefore easier to debug and analyze.
The contrasting programming paradigm is the imperative programming language, such as Perl, or Java, which rely on changing the state of the application during execution. The change of state in imperative programming languages means that the individual components of a program can produce different results with the same input values, based on the state of the program at the time.
The functional programming approach is easy to understand, but can be difficult to apply if you are used to the more procedural and state-focused imperative languages.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การเขียนโปรแกรมทำงานเมื่อเทียบกับกรอบอื่น ๆความแตกต่างหลักระหว่าง Erlang และภาษาที่นิยมมากขึ้นคือ ว่า Erlang เป็นหลักภาษาเขียนโปรแกรมที่ทำงาน นี้ไม่ มีสนับสนุนฟังก์ชันมีอะไร แต่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำงานของการทำงานของโปรแกรมและคอมโพเนนต์พร้อมโปรแกรมใช้งาน ฟังก์ชั่นและการดำเนินงานของภาษาถูกออกแบบมาในลักษณะคล้ายกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ในที่ภาษาทำงานฟังก์ชันการป้อนข้อมูล และการสร้างผลลัพธ์ กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรมการทำงานหมายความ ว่า บล็อกแต่ละรหัสสามารถผลิตค่าผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันสำหรับการป้อนค่าเดียวกัน ทำให้การทำนายผลลัพธ์ของฟังก์ชันหรือ โปรแกรมที่ง่ายมาก ดังนั้นจึงง่ายต่อการตรวจแก้จุดบกพร่อง และวิเคราะห์กระบวนทัศน์เขียนโปรแกรมตัดกันเป็นความจำเป็นภาษาการเขียนโปรแกรม เช่น Perl, Java ซึ่งอาศัยการเปลี่ยนสถานะของแอพลิเคชันในระหว่างดำเนินการ การเปลี่ยนแปลงของสถานะในภาษาการเขียนความจำเป็นหมายความ ว่า แต่ละองค์ประกอบของโปรแกรมสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกับค่าอินพุตเดียวกัน ตามสถานะของโปรแกรมในเวลาวิธีการเขียนโปรแกรมใช้งานง่ายที่จะเข้าใจ แต่ยากที่จะใช้ถ้าคุณใช้การเพิ่มเติมขั้นตอน และ เน้นสถานะความจำเป็นภาษา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

โปรแกรมการทำงานเมื่อเทียบกับกรอบความคิดอื่น ๆ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Erlang และภาษาที่นิยมมากขึ้นก็คือว่า Erlang เป็นหลักภาษาการเขียนโปรแกรมการทำงาน นี้มีอะไรจะทำอย่างไรกับว่าจะสนับสนุนการทำงาน แต่มีความเกี่ยวข้องกับวิธีการทำงานของโปรแกรมและส่วนประกอบการทำงาน.
กับการเขียนโปรแกรมการทำงานฟังก์ชั่นและการดำเนินงานของภาษาที่ได้รับการออกแบบในลักษณะที่คล้ายกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ในการที่ภาษาที่ดำเนินการ ฟังก์ชั่นในการป้อนข้อมูลและการสร้างผล กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรมการทำงานหมายความว่าบล็อกของแต่ละรหัสสามารถผลิตค่าเอาท์พุทที่สอดคล้องกันสำหรับใส่ค่าเดียวกัน นี้จะทำให้การคาดการณ์การส่งออกของฟังก์ชั่นหรือโปรแกรมที่ง่ายมากและดังนั้นจึงง่ายต่อการแก้ปัญหาและการวิเคราะห์.
กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรมตัดกันเป็นภาษาโปรแกรมที่จำเป็นเช่น Perl หรือ Java ซึ่งพึ่งพาการเปลี่ยนสถานะของการประยุกต์ใช้ในระหว่างการดำเนิน การเปลี่ยนแปลงของรัฐในการเขียนโปรแกรมภาษาจำเป็นหมายความว่าแต่ละองค์ประกอบของโปรแกรมที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกับค่าที่ป้อนเข้าเดียวกันขึ้นอยู่กับสถานะของโปรแกรมในเวลา.
วิธีการเขียนโปรแกรมการทำงานเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจ แต่อาจเป็นเรื่องยาก เพื่อนำไปใช้ถ้าคุณจะใช้ภาษาที่จำเป็นในการดำเนินการมากขึ้นและรัฐที่มุ่งเน้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

โปรแกรมการทำงานกับแนวคิดอื่น ๆความแตกต่างหลักระหว่างภาษาเปอร์เซียและภาษาที่นิยมมากขึ้นเป็นภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาการเขียนโปรแกรมการทํางาน มันไม่เกี่ยวกับว่า จะสนับสนุนฟังก์ชัน แต่จะเกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินงานของโปรแกรมและส่วนประกอบของงานด้วยโปรแกรมการทำงาน หน้าที่และการดำเนินงานของภาษาถูกออกแบบในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ในภาษาการฟังก์ชั่นการป้อนข้อมูลและการสร้างผล กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรมการทำงานหมายความว่าแต่ละบล็อกของรหัสสามารถผลิตค่าผลผลิตที่สอดคล้องกันสำหรับการป้อนข้อมูลเดียวกันค่า นี้จะทำให้สามารถทำนายผลลัพธ์ของฟังก์ชันหรือโปรแกรมได้ง่ายขึ้น และจึงง่ายที่จะแก้ปัญหาและวิเคราะห์ .การตัดตัวอย่างการเขียนโปรแกรมเป็นภาษาการเขียนโปรแกรมที่จำเป็น เช่น Perl หรือ Java ซึ่งอาศัยการเปลี่ยนสถานะของโปรแกรมในระหว่างการ การเปลี่ยนแปลงของรัฐในคำสั่งการเขียนโปรแกรมภาษาหมายความว่าส่วนประกอบแต่ละส่วนของโปรแกรมสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกับการป้อนข้อมูลเดียวกันค่า ขึ้นอยู่กับสถานะของโปรแกรมในเวลาที่วิธีการที่โปรแกรมการทำงานเข้าใจง่าย แต่อาจเป็นเรื่องยากที่จะใช้ถ้าคุณใช้ขั้นตอนเพิ่มเติมและรัฐเน้นภาษาจำเป็น