การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ
สารเสพติดให้โทษ หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับ มีอาการถอนยาเมื่อขาดยา มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงตลอดเวลา และสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรม และให้รวมถึงพืชหรือส่วนของพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นสารเสพติดให้โทษ หรืออาจใช้ผลิตเป็นสารเสพติดให้โทษและสารเคมีที่ใช้ในการผลิตสารเสพติดให้โทษด้วย ทั้งนี้ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่หมายความถึงยาสามัญประจำบ้านบางตำรับตามกฎหมายว่าด้วยสารเสพติดให้โทษผสมอยู่
การตรวจการใช้สารเสพติด สามารถตรวจวิเคราะห์ได้จากเลือด ปัสสาวะ เส้นผม น้ำลาย และเล็บ ปัสสาวะเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมที่สุดที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่เก็บได้ง่าย ปริมาณของสารเสพติดและสารย่อยสลายของสารเสพติดในปัสสาวะมีปริมาณมาก และระยะเวลาการตรวจพบจะนานกว่าในเลือด มีหลายๆปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการคงมีของสารเสพติดในปัสสาวะ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้แก่ เภสัชจลศาสตร์ของสารเสพติดเอง ขนาดของผู้เสพ (body mass) การใช้ยาเป็นครั้งคราวหรือใช้ติดต่อกัน ความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะ และครั้งหลังสุดที่ได้เสพ ในตารางจะ แสดงระยะเวลาที่สามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะ
สารเสพติด ระยะเวลาที่สามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะ
Amphetamine/Methamphetamine 48 hr
Barbiturate
short-acting 24 hr
long-acting 3 wk
Benzodiazepine
short-acting 3 d
long-acting 30 d
Cocaine metabolite 2-4 d
Marijuana
single use 3 d
moderate (4times/wk) 5-7 d
Daily use 10-15 d
long term heavy smoker >30 d
Opioides
Codeine/Heroin(morphne) 48 hr
Hydromorphine/oxycodne 2-4 d
Methadone 3 d
Propoxyphene 6-48 hr
Phencyclidine 8 d
วิธีวิเคราะห์ที่นิยมในปัจจุบันมี ๒ วิธีคือ วิธีทาง Immunoassay และ chromatography-mass spectrometry (GC-MS) วิธีทาง Immunoassay เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลายในการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ข้อดีของวิธีนี้คือ สามารถตรวจตัวอย่างได้ครั้งละจำนวนมาก และได้ผลในระยะเวลาที่รวดเร็ว รูปแบบของวิธีทาง Immunoassay ประกอบด้วย enzyme-multiplied immunoassay technique (EMIT), fluorescence polarization immunoassay (FPIA), radioimmunoassay (RIA), และ immunochromatography ที่มีจำหน่ายในรูปแบบแถบทดสอบ หรือแบบตลับที่สามารถนำมาใช้ทดสอบเองที่บ้านหรือที่ห้องตรวจโรค
ข้อเสียของวิธีทาง Immunoassay คือผลบวกเท็จซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีวิเคราะที่จำเพาะมากขึ้น เช่นวิธี GC-MS ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์หาสารเสพติด เพราะเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ ความจำเพาะสูง และยังสามารถตรวจได้แม้นมีปริมาณเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม วิธี GC-MS เป็นวิธีที่ใช้เวลาในการวิเคราะห์ค่อนข้างนาน และค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ค่อนข้างสูง อีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในการตรวจยืนยันคือ วิธี thin layer chromatograpgy (TLC) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เวลาไม่มากนัก ความแม่นยำและความจำเพาะค่อนข้างมากกว่าวิธี Immunoassay ในการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก แต่ไม่เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในปริมาณมาก
อย่างไรก็ดี เอ็นไซม์ lactate dehydrogenase และ lactate ในตัวอย่างจะทำให้ผลการตรวจคัดกรองสารเสพติด (ampetamine, barbiturate, benzodiazepine, opiates, and propoxyphene) ผิดได้ โดยเฉพาะการตรวจในตัวอย่างจากศพ, ผู้ป่วยที่อาจเสี่ยงต่อภาวะ lactic acidosis เช่นผู้ป่วยเบาหวาน, โรคตับ,ผู้ที่ได้รับสารพิษ (ethanol, methanol, salicylate) การตรวจวิเคราะห์ในตัวอย่างเหล่านี้จำเป็นต้องใช้วิธีที่มีความจำเพาะกว่า
การตรวจคัดกรองหาสารเสพติดใช่ว่าจะกำหนดไม่พบสารดังกล่าวในปัสสาวะ เนื่องจากปัสสาวะของคนเรามีสารอย่างอื่นๆที่สามารถรบกวนวิธีทดสอบ โดยเฉพาะวิธี Immunoassay จึงได้มีการกำหนดค่าที่ให้มีสารชนิดนี้ได้ในปัสสาวะ ค่าที่กำหนดเป็นการช่วยในการตัดผล false positive ทั้งนี้หน่วยงาน Department of Health and Human Services (DHHS) ของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดค่า cutoff ของสารเสพติดแต่ละชนิด สำหรับประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงค่า cutoff สำหรับ Opiate metabolites ทั้ง screen และ confirm อยู่ที่ 300 ng/ml ทั้งนี้ในบ้านเราไม่ค่อยนิยมใช้เมล็ด poppy seed ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหารเหมือนทางประเทศแถบตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา ค่า cutoff ของสารเสพติดแต่ละชนิดมีดังนี้ (ตารางที่ 2)
สารเสพติด screen (immnoassay)
(ng/ml) confirm (GCMS)
(ng/ml)
Amphetamine/Methamphetamine 1000 500
Cocaine metabolites 300 150
Marijuana metabolites 50 15
Opiate metabolites 2000 2000
ถึงแม้ว่าปัสสาวะจะเป็นตัวอย่างที่ดีต่อการตรวจวิเคราะห์หาสารเสพติด การปลอมปนตัวอย่าง การเจือจางปัสสาวะ ตลอดจนการเติมสารแปลกปลอมลงไปในปัสสาวะ วัตถุประสงค์เพื่อให้ผลการตรวจเป็น Negative นั้นหมายถึงไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะ เมื่อได้รับปัสสาวะที่จะนำมาวิเคราะห์ ต้องบันทึกลักษณะ สี และอุณหภูมิของปัสสาวะ การเจือจางปัสสาวะมักจะทำให้อุณหภูมิของปัสสาวะเย็นลงจนสามารถสัมผัสได้ ปกติแล้วภายในเวลา 15 นาที ปัสสาวะจะยังคงอุ่นอยู่ (ประมาณ 33oC) ถ้าเย็นเท่าอุณหภูมิห้องแสดงว่ามีการเจือปนน้ำ หรือนำปัสสาวะของผู้อื่นมาส่งแทน
นอกจากอุณหภูมิแล้ว การตรวจวัดความถ่วงจำเพาะ ความเป็นกรด-ด่าง และค่า creatinine จะช่วยบอกถึงการเจือปนน้ำ ปกติปัสสาวะจะมีสีชาจนถึงสีเหลืองอ่อนมาก แต่สีอาจมีสีอื่นๆได้ทั้งจากอาหารที่รับประทาน ยาที่ใช้ในการรักษา หรือโรคของผู้ป่วยเอง ค่าความเป็นกรด-ด่างปกติอยู่ในช่วง 4.5 - 8.0 ถ้าค่าความเป็นกรด-ด่างมีค่าน้อยกว่า 3 หรือมากกว่า 11 หรือค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่า 1.002 หรือสูงกว่า 1.020 แสดงตัวมีการเจือปนในปัสสาวะ ค่า creatinine ในปัสสาวะปกติจะมากกว่า 20 mg/dl ถ้าค่าน้อยกว่า 20 mg/dl แสดงว่ามีการเจือจางปัสสาวะ แต่ถ้าน้อยกว่า 5 mg/dl แสดงว่าปัสสาวะที่ส่งมานั้นไม่ใช่ปัสสาวะของคน
ค่า Nitrite ปกติจะน้อยกว่า 500 ug/ml ถ้าผลที่ได้มากกว่าแสดงว่ามีการเติมสาร nitrate ลงในปัสสาวะ สำหรับสารปลอมปนที่เติมลงไปในปัสสาวะที่พบได้แก่ น้ำยาล้างท่อ, น้ำยาไฮเตอร์, สบู่เหลว, น้ำยาแอมโมเนีย(น้ำยาเช็ดกระจก), น้ำยาไฮโดรเยน (hydrogen peroxide), น้ำมะนาว, น้ำส้มสายชู, ยาหยอดตา นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่จำหน่ายเพื่อให้ผลการตรวจเป็น false negative ซึ่งได้แก่ สารที่เจือปนด้วย glutaraldehyde, sodium หรือ potassium nitrite, peroxide และ peroxidase, และ pyridinium chlorochromate การป้องกันการเจือปนสารดังกล่าว ได้มีบริษัทผลิต urine strip สำหรับตรวจสอบการเจือบนสารต่างๆ เช่น Intect 7 (Branan Medical Corp, Irvine, CA) AdultaCheck 6 และ AdultaCheck 10 (Chimera Researh and Chemical Inc, Tampa, FL.) ซึ่ง urine strip นี้นอกจากจะตรวจวัดความถ่วงจำเพาะ ความเป
การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะสารเสพติดให้โทษหมายถึงสารเคมีหรือวัตถุชนิดใด ๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทานดมสูบฉีดหรือด้วยประการใด ๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญเช่นต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับมีอาการถอนยาเมื่อขาดยามีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงตลอดเวลาและสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมและให้รวมถึงพืชหรือส่วนของพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นสารเสพติดให้โทษหรืออาจใช้ผลิตเป็นสารเสพติดให้โทษและสารเคมีที่ใช้ในการผลิตสารเสพติดให้โทษด้วยทั้งนี้ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่ไม่หมายความถึงยาสามัญประจำบ้านบางตำรับตามกฎหมายว่าด้วยสารเสพติดให้โทษผสมอยู่การตรวจการใช้สารเสพติด สามารถตรวจวิเคราะห์ได้จากเลือด ปัสสาวะ เส้นผม น้ำลาย และเล็บ ปัสสาวะเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมที่สุดที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่เก็บได้ง่าย ปริมาณของสารเสพติดและสารย่อยสลายของสารเสพติดในปัสสาวะมีปริมาณมาก และระยะเวลาการตรวจพบจะนานกว่าในเลือด มีหลายๆปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการคงมีของสารเสพติดในปัสสาวะ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้แก่ เภสัชจลศาสตร์ของสารเสพติดเอง ขนาดของผู้เสพ (body mass) การใช้ยาเป็นครั้งคราวหรือใช้ติดต่อกัน ความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะ และครั้งหลังสุดที่ได้เสพ ในตารางจะ แสดงระยะเวลาที่สามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะสารเสพติดระยะเวลาที่สามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะแอมเฟตามีน/ประกาศ 48 ชั่วโมงBarbiturate สั้น ๆ ทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ลองทำหน้าที่ 3 wkBenzodiazepine ทำหน้าที่สั้น 3 มิติ ทำหน้าที่ 30 dMetabolite โคเคน 2-4 dกัญชา ใช้ 3 d ปานกลาง (4times/wk) d 5-7 ใช้ d 10-15 วัน สูบบุหรี่หนักระยะยาว > 30 dOpioides Codeine/Heroin(morphne) 48 ชั่วโมง Oxycodne Hydromorphine d 2-4 เมทาโดน 3 d Propoxyphene 6-48 ชั่วโมงPhencyclidine 8 dวิธีวิเคราะห์ที่นิยมในปัจจุบันมี ๒ วิธีคือวิธีทาง Immunoassay และมวล chromatography spectrometry (GC-MS) วิธีทาง Immunoassay เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลายในการตรวจคัดกรองเบื้องต้นข้อดีของวิธีนี้คือสามารถตรวจตัวอย่างได้ครั้งละจำนวนมากและได้ผลในระยะเวลาที่รวดเร็วรูปแบบของวิธีทาง Immunoassay ประกอบด้วยคูณเอนไซม์ immunoassay เทคนิค (EMIT), โพลาไรซ์ fluorescence immunoassay (FPIA), radioimmunoassay (เรีย), และ immunochromatography ที่มีจำหน่ายในรูปแบบแถบทดสอบหรือแบบตลับที่สามารถนำมาใช้ทดสอบเองที่บ้านหรือที่ห้องตรวจโรคข้อเสียของวิธีทาง Immunoassay คือผลบวกเท็จซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีวิเคราะที่จำเพาะมากขึ้น เช่นวิธี GC-MS ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์หาสารเสพติด เพราะเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ ความจำเพาะสูง และยังสามารถตรวจได้แม้นมีปริมาณเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม วิธี GC-MS เป็นวิธีที่ใช้เวลาในการวิเคราะห์ค่อนข้างนาน และค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ค่อนข้างสูง อีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในการตรวจยืนยันคือ วิธี thin layer chromatograpgy (TLC) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เวลาไม่มากนัก ความแม่นยำและความจำเพาะค่อนข้างมากกว่าวิธี Immunoassay ในการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก แต่ไม่เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในปริมาณมากอย่างไรก็ดีเอ็นไซม์ lactate dehydrogenase และ lactate ในตัวอย่างจะทำให้ผลการตรวจคัดกรองสารเสพติด (ampetamine, barbiturate, benzodiazepine, opiates และ propoxyphene) ผิดได้โดยเฉพาะการตรวจในตัวอย่างจากศพ ผู้ป่วยที่อาจเสี่ยงต่อภาวะแล็กเช่นผู้ป่วยเบาหวาน โรคตับ การตรวจวิเคราะห์ในตัวอย่างเหล่านี้จำเป็นต้องใช้วิธีที่มีความจำเพาะกว่าผู้ที่ได้รับสารพิษ (เอทานอล เมทานอล ซาลิไซเลต)การตรวจคัดกรองหาสารเสพติดใช่ว่าจะกำหนดไม่พบสารดังกล่าวในปัสสาวะ เนื่องจากปัสสาวะของคนเรามีสารอย่างอื่นๆที่สามารถรบกวนวิธีทดสอบ โดยเฉพาะวิธี Immunoassay จึงได้มีการกำหนดค่าที่ให้มีสารชนิดนี้ได้ในปัสสาวะ ค่าที่กำหนดเป็นการช่วยในการตัดผล false positive ทั้งนี้หน่วยงาน Department of Health and Human Services (DHHS) ของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดค่า cutoff ของสารเสพติดแต่ละชนิด สำหรับประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงค่า cutoff สำหรับ Opiate metabolites ทั้ง screen และ confirm อยู่ที่ 300 ng/ml ทั้งนี้ในบ้านเราไม่ค่อยนิยมใช้เมล็ด poppy seed ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหารเหมือนทางประเทศแถบตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา ค่า cutoff ของสารเสพติดแต่ละชนิดมีดังนี้ (ตารางที่ 2)หน้าจอสารเสพติด (immnoassay)(ng/ml) ยืนยัน (GCMS)(ng/ml)แอมเฟตามีน/ยาบ้า 1000 500โคเคน metabolites 300 150Metabolites กัญชา 50 15Opiate metabolites 2000 2000ถึงแม้ว่าปัสสาวะจะเป็นตัวอย่างที่ดีต่อการตรวจวิเคราะห์หาสารเสพติด การปลอมปนตัวอย่าง การเจือจางปัสสาวะ ตลอดจนการเติมสารแปลกปลอมลงไปในปัสสาวะ วัตถุประสงค์เพื่อให้ผลการตรวจเป็น Negative นั้นหมายถึงไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะ เมื่อได้รับปัสสาวะที่จะนำมาวิเคราะห์ ต้องบันทึกลักษณะ สี และอุณหภูมิของปัสสาวะ การเจือจางปัสสาวะมักจะทำให้อุณหภูมิของปัสสาวะเย็นลงจนสามารถสัมผัสได้ ปกติแล้วภายในเวลา 15 นาที ปัสสาวะจะยังคงอุ่นอยู่ (ประมาณ 33oC) ถ้าเย็นเท่าอุณหภูมิห้องแสดงว่ามีการเจือปนน้ำ หรือนำปัสสาวะของผู้อื่นมาส่งแทนนอกจากอุณหภูมิแล้ว การตรวจวัดความถ่วงจำเพาะ ความเป็นกรด-ด่าง และค่า creatinine จะช่วยบอกถึงการเจือปนน้ำ ปกติปัสสาวะจะมีสีชาจนถึงสีเหลืองอ่อนมาก แต่สีอาจมีสีอื่นๆได้ทั้งจากอาหารที่รับประทาน ยาที่ใช้ในการรักษา หรือโรคของผู้ป่วยเอง ค่าความเป็นกรด-ด่างปกติอยู่ในช่วง 4.5 - 8.0 ถ้าค่าความเป็นกรด-ด่างมีค่าน้อยกว่า 3 หรือมากกว่า 11 หรือค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่า 1.002 หรือสูงกว่า 1.020 แสดงตัวมีการเจือปนในปัสสาวะ ค่า creatinine ในปัสสาวะปกติจะมากกว่า 20 mg/dl ถ้าค่าน้อยกว่า 20 mg/dl แสดงว่ามีการเจือจางปัสสาวะ แต่ถ้าน้อยกว่า 5 mg/dl แสดงว่าปัสสาวะที่ส่งมานั้นไม่ใช่ปัสสาวะของคน
ค่า Nitrite ปกติจะน้อยกว่า 500 ug/ml ถ้าผลที่ได้มากกว่าแสดงว่ามีการเติมสาร nitrate ลงในปัสสาวะ สำหรับสารปลอมปนที่เติมลงไปในปัสสาวะที่พบได้แก่ น้ำยาล้างท่อ, น้ำยาไฮเตอร์, สบู่เหลว, น้ำยาแอมโมเนีย(น้ำยาเช็ดกระจก), น้ำยาไฮโดรเยน (hydrogen peroxide), น้ำมะนาว, น้ำส้มสายชู, ยาหยอดตา นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่จำหน่ายเพื่อให้ผลการตรวจเป็น false negative ซึ่งได้แก่ สารที่เจือปนด้วย glutaraldehyde, sodium หรือ potassium nitrite, peroxide และ peroxidase, และ pyridinium chlorochromate การป้องกันการเจือปนสารดังกล่าว ได้มีบริษัทผลิต urine strip สำหรับตรวจสอบการเจือบนสารต่างๆ เช่น Intect 7 (Branan Medical Corp, Irvine, CA) AdultaCheck 6 และ AdultaCheck 10 (Chimera Researh and Chemical Inc, Tampa, FL.) ซึ่ง urine strip นี้นอกจากจะตรวจวัดความถ่วงจำเพาะ ความเป
การแปล กรุณารอสักครู่..
