สำหรับประเทศไทย
ส่วนใหญ่มักจะใช้มันสำปะหลังอ้อยและกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตจากการศึกษากระบวนการผลิตเอทานอล 150,000 ลิตรต่อวันประกอบด้วย 1) ใช้มันสำปะหลัง 350-370 ตัน / วันจะต้องมีความชื้น 13-16% และต้องมีเชื้อแป้ง 65% (ดีพื้นฐาน) ใช้น้ำในกระบวนการผลิต 1,000 - 1,500 ตัน / วัน 17-18% รวมเป็นของแข็ง โดยย่อยเหลวด้วยเอนไซม์ (อัลฟ่าอะไมเลส) 95-100 องศาเซลเซียส 2 ชั่วโมงและย่อย saccharification ด้วย (glucoamylase) 55-65 องศาเซลเซียสใช้เวลา 24 ชั่วโมง โดยใช้ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ประสิทธิภาพการหมักประมาณ 90-91% การคายน้ำ 30- 32 องศาเซลเซียสใช้เวลา 48 ชั่วโมงประสิทธิภาพการกลั่นประมาณ 96.5% โดยใช้เทคนิคการซึมผ่านเมมเบรน 99.5% มีน้ำกากส่าประมาณ 1,400-1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวันมีค่า TS 5-7% ค่าซีโอดี 40,000-60,000 mg / l และค่าบีโอดี 15,000-35,000 mg / l น้ำเสีย 1,250-1,410 ลูกบาศก์เมตรต่อวันมีค่า TS 4-5% ค่า BOD 35,000 ppm และซีโอดี 50,000 ppm 2)
540-550 ตัน / วันต้องมีค่า Tota น้ำตาล 48-50%, 80 ° Brix ใช้น้ำในกระบวนการผลิต 1,000-1,300 ตัน / วัน (Cadmium) ด้วย H2SO4 และแยกตะกอนออก 25% จะไม่มีการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล โดยใช้ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ประสิทธิภาพการหมักประมาณ 92% การคายน้ำอ้อย 32-35 องศาเซลเซียสใช้เวลา 16 ชั่วโมงกากน้ำตาล 32-35 องศาเซลเซียสใช้เวลา 30 ชั่วโมงประสิทธิภาพการกลั่นประมาณ 96.5% ใช้เทคนิคการซึมผ่านเมมเบรน 99.5% น้ำกากส่าที่ได้ปริมาณ 1,000-1,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวันมีค่า TS 15% ค่าซีโอดี 100,000-150,000 mg / l ค่า BOD 40,000-70,000 mg / l นํ้าเสียที่ได้มีปริมาณ 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวันมีค่า 10 -12% ค่าบีโอดีทีเอส 50,000 ppm ค่าซีโอดี 150,000 ppm ในประเทศไทยนิยมนำมันสำปะหลังอ้อยและกากน้ำตาล - ข้อด้อยดังนี้ 1) อ้อย / กากน้ำตาลข้อดีคือ กากน้ำตาลมีต้นทุนในการผลิตต่ำข้อด้อยคือ การเกิดตะกรันในหอกลั่น ซึ่งยากแก่การกำจัดสีให้หมดไป 2) มันสำปะหลังข้อดีคือ 50% ปล่อยนํ้าเสียที่ไม่มีสีเข้ม ข้อด้อยคือมีการปล่อยน้ำเสีย ได้แก่ DDGS CO2 (สำหรับผิวแห้งธัญพืชกลั่นกับ solubles) ฟลูเซลออยด์ยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae) และก๊าซชีวภาพ
การแปล กรุณารอสักครู่..