What is Acid Rain?Acid rain refers

What is Acid Rain?
Acid rain refers to a mixture of deposited material, both wet and dry, coming from the atmosphere containing more than normal amounts of nitric and sulfuric acids. Simply put, it means rain that is acidic in nature due to the presence of certain pollutants in the air due to cars and industrial processes . Acid rain can occur in form of rain, snow, fog or dry material that settle to earth. Acidity is determined on the basis of the pH level of the water droplets. Normal rain water is slightly acidic with a pH range of 5.3-6.0, because carbon dioxide and water present in the air react together to form carbonic acid, which is a weak acid. When the pH level of rain water falls below this range, it becomes acid rain.
It occurs due to natural and human activities. Erupting volcanoes contains some chemicals that can cause acid rain. Apart from this, burning of fossil fuels, running of factories and automobiles due to human activities are few other reasons behind this activity.

Presently, large amounts of acid deposition is witnessed in the southeastern Canada, northeastern United States and most of Europe, including portions of Sweden, Norway, and Germany. In addition, some amount of acid deposition is found in parts of South Asia, South Africa, Sri Lanka, and Southern India.
Forms of Acid Rain
There are two forms in which acid deposition occurs – wet and dry. Both are discussed below:
Wet Deposition – When the wind blows the acidic chemicals in the air to the areas where the weather is wet, the acids fall to the ground in the form of rain, sleet, fog, snow or mist. It removes acid from the atmosphere and deposit them on the earth’s surface. When this acid flows through the ground, it affects large number of plants, animals and aquatic life. The water from drain flows into rivers and canals which is them mixed up with sea water, thereby affecting marine habitats.
Dry Deposition – If the wind blows the acidic chemicals in the air to the areas where the weather is dry, the acidic pollutants slip into dust or smoke and fall to the ground as dry particles. These stick to the ground and other surfaces such as cars, houses, trees and buildings. Almost 50% of the acidic pollutants in the atmosphere fall back through dry deposition. These acidic pollutants can be washed away from earth surface by rainstorms.
It was discovered way back in 1800s during the Industrial Revolution. A Scottish chemist, Robert Angus Smith, was first to discover this phenomenon in 1852 as a relationship between acid rain and atmospheric pollution in Manchester, England. But it gained public attention mainly in 1960s. The term was coined in 1972 when the NY Times published reports about the climate change effects which started arising due to the occurrence of acid rain in the Hubbard Brook Experimental Forest in New Hampshire.

Causes of Acid Rain
Both natural and man-made sources are known to play a role in the formation of acid rain. But, it is mainly caused by combustion of fossil fuels which results in emissions of sulfur dioxide (SO2) and nitrogen oxides (NOx).


Natural sources such as erupting volcanoes, rotting vegetation and sea sprays produce sulfur dioxide and fires, bacterial decomposition and lightening generate nitrogen dioxide. The chemicals released by natural sources gets mixed up with water and oxygen and are disperse over large areas because of wind patterns.
Man-made sources include emission of sulfur dioxide and nitrogen oxides due to combustion of fossil fuels. Roughly two-thirds of all sulfur dioxide and one-fourth of all nitrogen oxides come from generation of electricity through burning of fossil fuels such as coal. These gases react in the atmosphere with water, oxygen, and other chemicals to form various acidic compounds such as sulfuric acid, ammonium nitrate, and nitric acid. The existing winds blow these acidic compounds over large areas across borders and they fall back to the ground in the form of acid rain or other forms of precipitation. Upon reaching the earth, it flows across the surface, absorbs into the soil and enters into lakes and rivers and finally gets mixed up with sea water.
The gases i.e. i.e. sulfur dioxide (SO2) and nitrogen oxides (NOx) are primarily gases occurring from electric power generation by burning coal and responsible for acid rain.
Effects of Acid Rain
Acid rain has significant effects on the world environment and public health.
Effect on Aquatic Environment – Acid rain either falls directly on aquatic bodies or gets run off the forests, roads and fields to flow into streams, rivers and lakes. Over a period of time, acids get accumulated in the water and lower the overall pH of the water body. The aquatic plants and animals need a particular pH level of about 4.8 to survive. If the pH level falls below that the conditions become hostile for the survival of aquatic life.
Effect on Forests – It makes trees vulnerable to disease, extreme weather, and insects by destroying their leaves, damaging the bark and arresting their growth. Forest damage due to acid rain is most evident in Eastern Europe – especially Germany, Poland and Switzerland.

Effect on Soil – As it falls on forest or field soil, it kills useful micro-organisms and leaches nutrients of soil. Many a times, this leads to calcium and other nutrient deficiency, producing infertile soils.
Effect on Architecture and Buildings – Acid rain on buildings, especially those constructed with limestone, react with the minerals and corrode them away. This leaves the building weak and susceptible to decay. Modern buildings, cars, airplanes, steel bridges and pipes are all affected by acid rain. Irreplaceable damage can be caused to the old heritage buildings.
Effect on Public Health – When in atmosphere, sulfur dioxide and nitrogen oxide gases and their particulate matter derivatives like sulfates and nitrates, degrades visibility and can cause accidents, leading to injuries and deaths.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ฝนกรดคืออะไรฝนกรดหมายถึงส่วนผสมของวัสดุที่นำฝาก ทั้งเปียก และ แห้ง มาจากบรรยากาศจะประกอบด้วยมากกว่าจำนวนปกติกรด nitric และกำมะถัน เพียงแค่ใส่ หมายความว่า ฝนที่เป็นกรดในธรรมชาติเนื่องจากของบางอย่างสารมลพิษในอากาศจากรถยนต์และอุตสาหกรรมกระบวน การ ฝนกรดสามารถเกิดขึ้นได้ในรูปแบบของฝน หิมะ หมอก หรือวัสดุแห้งที่ชำระเพื่อแผ่นดิน มีกำหนดตามระดับ pH ของหยดน้ำ น้ำฝนปกติมีเปรี้ยวเล็กน้อย มี pH 5.3-6.0 เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำในอากาศต่อกันเพื่อฟอร์มคาร์บอนิกกรด ซึ่งเป็นกรดอ่อน เมื่อระดับ pH ของน้ำฝนลดลงต่ำกว่าช่วงนี้ มันกลายเป็นฝนกรดมันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ และธรรมชาติ ไฟ erupting ประกอบด้วยสารเคมีบางอย่างที่อาจทำให้เกิดฝนกรด แยกจากนี้ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำงานโรงงานและรถยนต์เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ได้สาเหตุอื่นอยู่เบื้องหลังกิจกรรมนี้ปัจจุบัน กรดสะสมจำนวนมากจะเห็นในแคนาดาตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือสหรัฐอเมริกาและส่วนใหญ่ของยุโรป รวมถึงบางส่วนของสวีเดน นอร์เวย์ และเยอรมนี บางจำนวนกรดสะสมอยู่ในส่วนของภูมิภาคเอเชียใต้ แอฟริกาใต้ ศรีลังกา และ อินเดียใต้รูปแบบของฝนกรดมีสองรูปแบบในการสะสมกรดเกิด – เปียก และแห้ง ทั้งสองได้อธิบายไว้ด้านล่าง:ฝนสะสม – เมื่อลมพัดสารเคมีกรดในอากาศไปยังพื้นที่ที่เปียก อากาศกรดที่ตกสู่พื้นในรูปของฝน sleet หมอก หิมะ หรือหมอก มันเอากรดออกจากบรรยากาศ และฝากพวกเขาบนพื้นผิวของโลก เมื่อกรดนี้ไหลผ่านพื้นดิน จะมีผลกับจำนวนพืช สัตว์ และสัตว์น้ำขนาดใหญ่ น้ำจากท่อระบายน้ำไหลลงในแม่น้ำลำคลองซึ่งเป็นพวกเขาผสมค่าน้ำทะเล ผลกระทบทางทะเลอยู่อาศัยแห้งสะสม – ถ้าลมพัดสารเคมีกรดในอากาศในพื้นที่ที่อากาศแห้ง ใบกรดสารมลพิษฝุ่นละอองหรือควัน และตกสู่พื้นเป็นอนุภาคแห้ง เหล่านี้ติดพื้นดินและพื้นผิวอื่น ๆ เช่นรถยนต์ บ้าน ต้นไม้ และอาคาร เกือบ 50% ของสารมลพิษกรดในบรรยากาศลดลงกลับผ่านสะสมแห้ง สารมลพิษเหล่านี้เปรี้ยวสามารถล้างออกจากพื้นผิวโลก โดยพายุฝนมันถูกค้นพบทางกลับในเพราะในระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักเคมีสกอตแลนด์ โรเบิร์ต Angus Smith เป็นครั้งแรกการ ค้นพบปรากฏการณ์นี้ใน 1852 เป็นความสัมพันธ์ระหว่างฝนกรดและมลภาวะทางอากาศในแมนเชสเตอร์ อังกฤษ แต่จะได้รับความสนใจของสาธารณะใน 1960s คำมีจังหวะในปี 1972 เมื่อเวลา NY เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงผลซึ่งเริ่มเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดฝนกรดในป่า Experimental บรู๊ค Hubbard ในนิวแฮมป์เชียร์สาเหตุของฝนกรดทั้งธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้นแหล่งทราบว่าบทบาทในการก่อตัวของฝนกรด แต่ ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งผลในการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (โรงแรมน็อกซ์) แหล่งน้ำธรรมชาติเช่นภูเขา erupting หึ่งพืชและซีสเปรย์ผลิตไฟและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แยกส่วนประกอบแบคทีเรียและเด้งสร้างก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ สารเคมีที่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติได้รับการผสมกับน้ำและออกซิเจน และจะกระจายทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่เนื่องจากรูปแบบของลมแหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้นรวมถึงการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ประมาณสองในสามของทั้งหมดซัลเฟอร์ไดออกไซด์และหนึ่งส่วนสี่ของออกไซด์ของไนโตรเจนทั้งหมดมาจากการสร้างกระแสไฟฟ้าโดยการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นถ่านหิน ก๊าซเหล่านี้ตอบสนองในบรรยากาศน้ำ ออกซิเจน และสารเคมีอื่น ๆ เพื่อสร้างสารประกอบกรดต่าง ๆ เช่นกรดกำมะถัน แอมโมเนีย กรดไนตริก ลมอยู่พัดสารประกอบกรดเหล่านี้ผ่านพื้นที่ขนาดใหญ่ข้ามพรมแดน และก็ถอยกลับไปพื้นดินในรูปของฝนกรดหรือแบบฟอร์มอื่น ๆ ของฝน เมื่อถึงแผ่นดิน มันไหลผ่านพื้นผิว ดูดซับลงในดินเข้าสู่ทะเลสาบและแม่น้ำ และสุดท้าย ได้รับการผสมค่าน้ำทะเลก๊าซเช่นเช่นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (โรงแรมน็อกซ์) เป็นก๊าซหลักเกิดขึ้นจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยการเผาไหม้ถ่านหิน และชอบฝนกรดผลกระทบของฝนกรดฝนกรดมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมโลกและสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางน้ำฝนกรดอยู่ในร่างกายสัตว์น้ำโดยตรง หรือรับทำงานป่าไม้ ถนน และเขตข้อมูลไหลเป็นสายธาร แม่น้ำ และทะเลสาบ ช่วงระยะเวลา กรดได้รับสะสมในน้ำ และลด pH ของร่างกายน้ำโดยรวม น้ำพืชและสัตว์ต้องระดับ pH หนึ่ง ๆ ประมาณ 4.8 เพื่อความอยู่รอด ถ้าระดับ pH ลดลงต่ำกว่าที่ เงื่อนไขเป็นศัตรูเพื่อความอยู่รอดของสัตว์น้ำลักษณะพิเศษบนป่า – ทำให้ต้นไม้อ่อนแอโรค อากาศมาก และแมลงทำลายใบของพวกเขา ทำลายเปลือกที่ และเจริญเติบโตของพวกเขาจับกุม ป่าเสียหายจากฝนกรดได้ชัดในยุโรปตะวันออก – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี โปแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ลักษณะพิเศษบนดิน – ตรงกับดินป่าหรือฟิลด์ มันฆ่าไมโครสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ และสารอาหารของดิน leaches หลายครั้ง นี้นำแคลเซียมและขาดธาตุอาหารอื่น ๆ ผลิตดินเนื้อปูนช่วงลักษณะพิเศษบนสถาปัตยกรรมและอาคาร – ฝนกรดในอาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สร้างขึ้น ด้วยหินปูน ทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ และกร่อนไป นี้ออกจากอาคารที่อ่อนแอ และไวต่อการผุ สิ่งอำนวยความสะดวก รถยนต์ เครื่องบิน สะพานเหล็ก และท่อมีทั้งหมดได้ผลกระทบจากฝนกรด อาจเกิดความเสียหาย irreplaceable อาคารมรดกเก่าผลกระทบต่อสาธารณสุข – เมื่อในบรรยากาศ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ก๊าซและเรื่องของฝุ่น เช่นตราสารอนุพันธ์ sulfates nitrates เสื่อมมองเห็น และสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุ การนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เป็นฝนกรดอะไร
ฝนกรดหมายถึงส่วนผสมของวัสดุฝากทั้งเปียกและแห้งมาจากชั้นบรรยากาศที่มีมากกว่าปริมาณปกติของไนตริกและกรดซัลฟูริก ใส่เพียงแค่มันหมายถึงฝนที่มีสภาพเป็นกรดในธรรมชาติเนื่องจากการมีสารพิษบางอย่างในอากาศเนื่องจากคันและกระบวนการทางอุตสาหกรรม ฝนกรดสามารถเกิดขึ้นได้ในรูปแบบของฝน, หิมะ, หมอกหรือวัสดุที่แห้งชำระเพื่อแผ่นดิน ความเป็นกรดจะถูกกำหนดบนพื้นฐานของระดับ pH ของหยดน้ำ น้ำฝนปกติมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยกับช่วงค่า pH 5.3-6.0 เพราะตอบสนองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปัจจุบันน้ำในอากาศกันแบบกรดคาร์บอซึ่งเป็นกรดอ่อน เมื่อระดับ pH ของน้ำฝนต่ำกว่าช่วงนี้มันจะกลายเป็นฝนกรด.
มันเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์และธรรมชาติ ภูเขาไฟปะทุมีสารเคมีบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝนกรด นอกจากนี้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลการทำงานของโรงงานและรถยนต์เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีเหตุผลอื่น ๆ ไม่กี่ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมนี้. ปัจจุบันจำนวนมากสะสมของกรดเป็นพยานในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคนาดา, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือสหรัฐอเมริกาและส่วนใหญ่ของยุโรปรวมทั้งบางส่วน ของสวีเดนนอร์เวย์และเยอรมนี นอกจากนี้ปริมาณการสะสมของกรดบางอย่างที่พบในส่วนของเอเชียใต้, แอฟริกาใต้, ศรีลังกาและภาคใต้ของอินเดีย. รูปแบบของฝนกรดมีสองรูปแบบที่สะสมของกรดเกิดขึ้นเป็น - เปียกและแห้ง ทั้งสองจะกล่าวถึงด้านล่าง: สะสมเปียก - เมื่อลมพัดสารเคมีที่เป็นกรดในอากาศไปยังพื้นที่ที่สภาพอากาศที่เปียกกรดตกอยู่กับพื้นดินในรูปแบบของฝนลูกเห็บหมอกหิมะหรือหมอก มันเอากรดจากบรรยากาศและเงินฝากพวกเขาบนพื้นผิวโลก เมื่อกรดนี้ไหลผ่านพื้นดินจะมีผลต่อจำนวนมากของพืชสัตว์และสัตว์น้ำ น้ำจากท่อระบายน้ำไหลลงสู่แม่น้ำและคลองซึ่งเป็นที่พวกเขาผสมกับน้ำทะเลจึงมีผลต่อแหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเล. สะสมแห้ง - หากลมพัดสารเคมีที่เป็นกรดในอากาศไปยังพื้นที่ที่สภาพอากาศจะแห้งสารมลพิษที่เป็นกรดแอบเข้าไป ฝุ่นหรือควันและฤดูใบไม้ร่วงกับพื้นเป็นอนุภาคแห้ง เหล่านี้ติดอยู่กับพื้นดินและพื้นผิวอื่น ๆ เช่นรถยนต์บ้านต้นไม้และอาคาร เกือบ 50% ของสารมลพิษที่เป็นกรดในบรรยากาศถอยกลับผ่านแห้ง สารมลพิษที่เป็นกรดเหล่านี้สามารถล้างออกไปจากพื้นผิวโลกโดยพายุฝน. มันถูกค้นพบทางกลับในปี 1800 ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักเคมีสก็อต, โรเบิร์ตแองกัสสมิ ธ เป็นคนแรกที่ค้นพบปรากฏการณ์นี้ในปี 1852 ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างฝนกรดและมลพิษทางอากาศในแมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ แต่มันได้รับความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ในปี 1960 คำประกาศเกียรติคุณในปี 1972 เมื่อนิวยอร์กไทม์สตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเริ่มต้นที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเกิดฝนกรดในฮับบาร์ดห้วยป่าทดลองใน New Hampshire. สาเหตุของการเกิดฝนกรดทั้งธรรมชาติและแหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นที่รู้จัก ที่จะมีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของฝนกรด แต่มันก็เป็นส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งส่งผลให้การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx). แหล่งธรรมชาติเช่นภูเขาไฟปะทุ, พืชที่เน่าเปื่อยและสเปรย์น้ำทะเลผลิตก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไฟ, การสลายตัวของเชื้อแบคทีเรียและลดน้ำหนัก สร้างก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ สารเคมีที่ปล่อยออกมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ได้รับการผสมกับน้ำและออกซิเจนและแยกย้ายกันมากกว่าพื้นที่ขนาดใหญ่ของรูปแบบเพราะลม. แหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้นรวมถึงการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ประมาณสองในสามของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และหนึ่งในสี่ของทุกไนโตรเจนออกไซด์มาจากการผลิตกระแสไฟฟ้าผ่านการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นถ่านหิน ก๊าซเหล่านี้ตอบสนองในบรรยากาศที่มีน้ำออกซิเจนและสารเคมีอื่น ๆ ในรูปแบบที่เป็นกรดสารต่างๆเช่นกรดซัลฟูริก, แอมโมเนียมไนเตรตและกรดไนตริก ลมพัดสารที่มีอยู่เป็นกรดเหล่านี้มากกว่าพื้นที่ขนาดใหญ่ข้ามพรมแดนและพวกเขาถอยกลับไปที่พื้นดินในรูปแบบของฝนกรดหรือรูปแบบอื่น ๆ ของการเร่งรัด เมื่อมาถึงแผ่นดินที่มันไหลผ่านพื้นผิวดูดซับลงไปในดินและเข้าสู่ทะเลสาบและแม่น้ำและในที่สุดได้รับการผสมกับน้ำทะเล. ieie ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ส่วนใหญ่จะมีก๊าซที่เกิดขึ้นจากการไฟฟ้า . การผลิตกระแสไฟฟ้าจากการเผาไหม้ถ่านหินและรับผิดชอบในการฝนกรดผลของฝนกรดฝนกรดมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมโลกและสุขภาพของประชาชน. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ - ฝนกรดทั้งสองตกอยู่โดยตรงบนร่างกายได้รับน้ำหรือวิ่งหนีป่าถนนและ สาขาที่จะไหลลงสู่ลำธารแม่น้ำและทะเลสาบ ในช่วงเวลาที่ได้รับกรดที่สะสมอยู่ในน้ำและลดค่า pH โดยรวมของร่างกายน้ำ พืชน้ำและสัตว์ต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับ pH ประมาณ 4.8 เพื่อความอยู่รอด ถ้าระดับค่า pH ต่ำกว่าที่กลายเป็นเงื่อนไขที่เป็นมิตรสำหรับการอยู่รอดของสัตว์น้ำ. ผลกระทบต่อป่าไม้ - มันทำให้ต้นไม้ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอากาศที่รุนแรงและแมลงทำลายใบของพวกเขาเสียหายเปลือกและจับกุมการเจริญเติบโตของพวกเขา ความเสียหายอันเนื่องมาจากป่าฝนกรดที่เห็นได้ชัดที่สุดในยุโรปตะวันออก - โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเยอรมนีโปแลนด์และวิตเซอร์แลนด์. ผลกระทบต่อดิน - ในขณะที่มันตรงกับป่าหรือดินสนามมันฆ่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และสารอาหาร leaches ของดิน หลายครั้งนี้นำไปสู่การขาดแคลเซียมและสารอาหารอื่น ๆ การผลิตดินที่มีบุตรยาก. ผลกระทบต่อสถาปัตยกรรมและอาคาร - ฝนกรดในอาคารโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สร้างด้วยหินปูนทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุและสนิมพวกเขาออกไป ซึ่งจะทำให้อาคารที่อ่อนแอและไวต่อการสลายตัว อาคารโมเดิร์น, รถยนต์, เครื่องบิน, สะพานเหล็กและท่อทั้งหมดรับผลกระทบจากฝนกรด ความเสียหายที่ไม่สามารถถูกแทนที่อาจเกิดกับอาคารมรดกเก่า. ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน - เมื่ออยู่ในบรรยากาศก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์และอนุพันธ์อนุภาคของพวกเขาเช่นซัลเฟตและไนเตรต, ลดการมองเห็นและสามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่นำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ฝนกรดคืออะไร ?
ฝนกรดหมายถึงส่วนผสมของวัสดุได้ทั้งเปียกและแห้ง มาจากบรรยากาศที่มีมากกว่าปริมาณปกติของกรดไนตริกและกรดซัลฟูริค . ใส่เพียงแค่มันหมายถึงฝนที่เป็นกรดในธรรมชาติเนื่องจากการปรากฏตัวของสารมลพิษบางอย่างในอากาศจากรถยนต์และอุตสาหกรรมกระบวนการ ฝนกรดสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบของฝน , หิมะ ,หมอกแห้ง หรือวัสดุที่ทำเพื่อแผ่นดิน กรดจะถูกกำหนดบนพื้นฐานของระดับ pH ของน้ำหยด . น้ําฝนปกติเป็นกรดเล็กน้อยกับ pH ในช่วง 5.3-6.0 เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำที่มีอยู่ในอากาศทำปฏิกิริยากันเป็นรูปกรดคาร์บอนิกซึ่งเป็นกรดอ่อน เมื่อระดับ pH ของน้ำฝนตกลงมาด้านล่าง ช่วงนี้ จะกลายเป็นฝนกรด
มันเกิดขึ้นเนื่องจากกิจกรรมธรรมชาติและมนุษย์ ปะทุภูเขาไฟประกอบด้วยสารเคมีบางชนิดที่สามารถทำให้เกิดฝนกรด นอกจาก นี้ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ในโรงงานและรถยนต์ เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์มีเพียงไม่กี่อื่น ๆ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมนี้

ปัจจุบันขนาดใหญ่ปริมาณการตกสะสมของกรดเป็นพยานในแคนาดาใต้ , สหรัฐอเมริกาและส่วนใหญ่ของยุโรปรวมทั้งส่วนของสวีเดน , นอร์เวย์และเยอรมนี นอกจากนี้ บาง ปริมาณการตกสะสมของกรดพบในส่วนของเอเชียใต้ แอฟริกาใต้ ศรีลังกา และอินเดียตอนใต้ ในรูปแบบของกรดฝน

มีสองรูปแบบในที่การตกสะสมของกรดเกิดขึ้นทั้งเปียกและแห้ง ทั้งมีการกล่าวถึงด้านล่าง :
เปียกสะสม–เมื่อลมพัด สารเคมีที่เป็นกรดในอากาศบริเวณที่สภาพอากาศเปียกกรดตกลงสู่พื้นดินในรูปแบบของฝน ลูกเห็บหมอกหิมะหรือหมอก มันเอากรดจากบรรยากาศ และเก็บไว้บนพื้นผิวโลก เมื่อกรดนี้ไหลผ่านพื้นดินจะมีผลต่อจำนวนมากของพืชสัตว์และชีวิตสัตว์น้ำ น้ำจากท่อระบายน้ำที่ไหลลงแม่น้ำและลำคลองที่พวกเขาผสมกับน้ำทะเล จึงมีผลต่อ
ที่อยู่อาศัยทางทะเล- สะสมแห้งถ้าลมพัดสารเคมีที่เป็นกรดในอากาศในพื้นที่ที่อากาศแห้ง หรือฝุ่นควันมลพิษเปรี้ยวใส่ และตกลงสู่พื้นดินเป็นอนุภาคที่แห้ง เหล่านี้ติดพื้นและพื้นผิวอื่น ๆเช่น รถยนต์ บ้าน ต้นไม้ อาคาร เกือบ 50% ของสารมลพิษที่เป็นกรดในบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงกลับผ่านบริการการสารมลพิษที่เป็นกรดเหล่านี้สามารถล้างออกไปจากผิวโลก โดยฝนตก .
มันถูกค้นพบในทางกลับอังกฤษในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักเคมีชาวสก็อต Robert Angus Smith เป็นครั้งแรกเพื่อค้นพบปรากฏการณ์นี้ในปี 1852 เป็นฝนกรดมลพิษและความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศในแมนเชสเตอร์ , อังกฤษ แต่มันได้รับความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ในยุค 60 .