เงื่อนไขคุณธรรม
จากบทความเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียงกับความพอประมาณ” และเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียงกับความมีเหตุผล และระบบภูมิคุ้มกัน” ที่ได้นำเสนอไปในสัปดาห์ก่อนหน้าได้กล่าวถึง 3 ห่วงที่เป็นแกนหลักของระบบเศรษฐกิจพอเพียง อันมีเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องการทำบัญชีรายรับ-จ่ายในครอบครัว การมีเหตุผลในการใช้จ่าย บริหารหนี้ ลงทุน และการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ตลอดจนการยกระดับฐานะของตนเองให้สูงขึ้นอย่างพอเพียง ในบทความนี้จะกล่าวถึงเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม อันเป็นบทสรุปของระบบเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามีพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ “เงื่อนไขความรู้” ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีเนื้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ความรู้นั้นเป็นหลักของการงาน ผู้ที่จะทำงานอย่างใดจำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นก่อนเป็นเบื้องต้น ส่วนความคิดเป็นเครื่องช่วยความรู้ คือ ช่วยให้ใช้ความรู้ได้ถูกต้อง เช่น จะใช้อย่างไร ที่ไหน เมื่อใด เมื่อมีความรู้สำหรับงาน มีความคิดสำหรับพิจารณาใช้ความรู้ให้ถูกต้องแล้ว ย่อมทำงานได้ผลสมบูรณ์ดี ยากที่จะผิดพลาด ความรู้กับความคิดจึงไม่ควรแยกจากกัน” กล่าวได้ว่า ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ความรู้สำหรับการทำงาน และความรู้สำหรับการจัดการทรัพย์สินของตนเองความรู้สำหรับการทำงาน นอกจากความรู้จากการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ที่เราจะนำมาใช้ในการทำงาน หรืออาชีพของเราแล้ว การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างเช่น ใครที่ทำงานประจำ หรือเป็นพนักงานบริษัท ประสบการณ์ ความรู้ใหม่ๆ จะช่วยให้เราก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานได้ หรือใครที่ทำธุรกิจส่วนตัว มีกิจการเป็นของตนเอง ก็ควรหาความรู้เพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไรให้กิจการของเราอยู่รอด หรือจะทำอย่างไรให้กิจการเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งการหาความรู้เพิ่มเติมสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมงานอบรม สัมมนาต่างๆ การอ่านหนังสือ รวมไปถึงการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น ก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้เราได้ความรู้สำหรับการจัดการทรัพย์สินของตนเอง จากบทความเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียงกับความพอประมาณ” ที่ได้แนะนำการจัดการเงินโดยออมก่อนใช้ มีการสำรองเงินเพื่อใช้จ่ายยามจำเป็น และรู้จักบริหารเงินให้งอกเงยขึ้น ซึ่งวิธีที่ทำให้เงินของเรางอกเงยขึ้นได้ ก็คือ การลงทุน ในปัจจุบันสินทรัพย์ทางการเงินก็มีหลากหลายให้เราเลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม ฯลฯ แต่เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทจะมีผลตอบแทน ความเสี่ยง วิธีการซื้อขายที่แตกต่างกัน เราจึงควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน อย่างเช่น การลงทุนในหุ้น ก็ควรศึกษาว่าบริษัทที่เราจะไปซื้อนั้นประกอบธุรกิจอะไร รายได้มาจากการไหน การเติบโตของผลกำไรเป็นอย่างไร หรือการลงทุนในกองทุนรวม ก็ควรอ่านหนังสือชี้ชวนเพื่อทราบข้อมูลของกองทุนรวมว่ามีนโยบายการลงทุนอย่างไร ลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง มีเงินปันผลหรือไม่ มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เป็นต้น การศึกษาทำความเข้าใจในสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าเราจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง แต่หากลงทุนด้วยความเข้าใจ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ สำหรับ “เงื่อนไขคุณธรรม” นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับคุณธรรม โดยมีใจความสำคัญว่า “คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษา และน้อมนำมาปฏิบัติมีอยู่ 4 ประการ ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดี” คุณธรรมทั้ง 4 ประการนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรน้อมนำมาปฏิบัติในการดำเนิน ชีวิต เนื่องจากการมีเจตนา การพูด การกระทำที่มุ่งดี มีเมตตา และการมุ่งช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้ที่เราติดต่อด้วย ย่อมทำให้ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเรานั้น รับรู้ได้ถึงความจริงใจที่เราได้สื่อออกไป นอกจากนี้ การที่เราประกอบการงานอยู่ในความสัจสุจริต และพยายามมีหลักการสำหรับความคิดเห็นของตนเองให้ถูกต้อง มีเหตุผล จะนำมาซึ่งความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หุ้นส่วน และลูกค้า ทำให้งานแต่ละอย่าง สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่เกิดความเสียหายจากการทุจริต ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ย่อมมี
ความสุขความเจริญกันถ้วนหน้าเป็นการได้ใช้ความรู้ของตนเองยกระดับสังคมให้น่าอยู่ขึ้นด้วยการมีคุณธรรมประจำใจ