Racism consists of several differen

Racism consists of several different and often related ideologies centered around the concept of race. Modern variants are often based in social perceptions of biological differences between peoples. These can take the form of social actions, practices or beliefs, or political systems that consider different races to be ranked as inherently superior or inferior to each other, based on presumed shared inheritable traits, abilities, or qualities. It may also hold that members of different races should be treated differently.[1][2][3]

Among the questions about how to define racism are the question of whether to include forms of discrimination that are unintentional, such as making assumptions about preferences or abilities of others based on racial stereotypes, whether to include symbolic or institutionalized forms of discrimination such as the circulation of ethnic stereotypes through the media, and whether to include the sociopolitical dynamics of social stratification that sometimes have a racial component.

In sociology and psychology, some definitions only include consciously malignant forms of discrimination.[4][5] Some definitions of racism also include discriminatory behaviors and beliefs based on cultural, national, ethnic, caste, or religious stereotypes.[2][6] One view holds that racism is best understood as 'prejudice plus power' because without the support of political or economic power, prejudice would not be able to manifest as a pervasive cultural, institutional or social phenomenon.[7][8][9]

While race and ethnicity are considered to be separate phenomena in contemporary social science, the two terms have a long history of equivalence in popular usage and older social science literature. Racism and racial discrimination are often used to describe discrimination on an ethnic or cultural basis, independent of whether these differences are described as racial. According to the United Nations convention, there is no distinction between the terms racial discrimination and ethnic discrimination, and superiority based on racial differentiation is scientifically false, morally condemnable, socially unjust and dangerous, and that there is no justification for racial discrimination, in theory or in practice, anywhere.[10]

In history, racism was a driving force behind conquest and the Transatlantic slave trade,[11] and behind states based on racial segregation such as the U.S. in the nineteenth and early twentieth centuries and South Africa under apartheid.[12] Practices and ideologies of racism are universally condemned by the United Nations in the Declaration of Human Rights.[13] It has also been a major part of the political and ideological underpinning of genocides such as the Holocaust, but also in colonial contexts such as the rubber booms in South America and the Congo, and in the European conquest of the Americas and colonization of Africa, Asia and Australia.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เหยียดประกอบด้วยหลายแตกต่างกัน และมักจะเกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์แปลกแนวคิดของการแข่งขัน สมัยย่อยมักจะอยู่ในแนวทางสังคมของความแตกต่างทางชีวภาพระหว่างคน เหล่านี้สามารถนำรูปแบบของการดำเนินการทางสังคม แนวทางปฏิบัติ หรือความเชื่อ หรือระบบการเมืองที่พิจารณาแตกต่างกันการแข่งขันการจัดอันดับเป็นความเหนือกว่า หรือน้อยกัน ตามลักษณะสืบร่วม presumed ความสามารถ หรือคุณภาพ ก็อาจถือว่า สมาชิกของชนชาติต่าง ๆ ควรถือว่าแตกต่างกัน [1] [2] [3]คำถามเกี่ยวกับวิธีการกำหนดเหยียดเป็นคำถามที่ว่าจะรวมรูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่ไม่ตั้งใจ เช่นสมมติฐานเกี่ยวกับลักษณะหรือความสามารถของผู้อื่นตามเชื้อชาติมัก รวมรูปแบบสัญลักษณ์ หรือ institutionalized เลือกปฏิบัติเช่นการหมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์มักผ่านสื่อหรือไม่ และรวมการเปลี่ยนแปลง sociopolitical ของสาระทางสังคมที่มีส่วนประกอบเป็นเชื้อชาติหรือไม่สังคมวิทยาและจิตวิทยา คำนิยามบางรวมสติเพ็ทฟอร์มเลือกปฏิบัติเฉพาะ [4] [5] บางนิยามเหยียดกันโจ่งแจ้งพฤติกรรม และความเชื่อตามวัฒนธรรม ชาติ ชาติพันธุ์ วรรณะ หรือศาสนามัก [2] [6] ดูหนึ่งถือว่า เหยียดเป็นส่วนเข้าใจว่าเป็น 'อคติบวกพลังงาน' เนื่องจากไม่สนับสนุนอำนาจทางการเมือง หรือเศรษฐกิจ อคติจะไม่ชัดเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม สถาบัน หรือสังคมชุมชนที่แพร่หลาย [7] [8] [9]ในขณะที่กำลังแข่งขันและเชื้อชาติจะ แยกปรากฏการณ์ในสังคมร่วมสมัย เงื่อนไขสองมีประวัติยาวนานเทียบเท่านิยมใช้ในวรรณกรรมสังคมศาสตร์เก่า เหยียดและแบ่งแยกเชื้อชาติมักจะใช้เพื่ออธิบายการแบ่งแยกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ หรือวัฒนธรรมพื้นฐาน ขึ้นอยู่กับว่าความแตกต่างเหล่านี้ไว้เป็นเชื้อชาติ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติ มีไม่มีความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติแบ่งแยก และเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์ และปมตามเชื้อชาติสร้างความแตกต่างอย่างเท็จ คุณธรรม condemnable สังคมฝ่ายอธรรม และอันตราย และที่มีเหตุผลไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ในทางทฤษฎี หรือ ในทาง ปฏิบัติ ทุกเงื่อนไข [10]ในประวัติศาสตร์ เหยียดถูกแรงผลักดันอยู่เบื้อง หลังการค้าทาสมหาสมุทรแอตแลนติก, [11] และชนะ และอยู่เบื้อง หลังอเมริกาตามการแบ่งแยกเชื้อชาติเช่นสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ยี่สิบและแอฟริกาใต้ภายใต้การถือผิว เกลียดชัง [12] และเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของเหยียดถูกประณาม โดยสหประชาชาติในการปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน [13] ก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมือง และอุดมการณ์ underpinning ของ genocides เช่นฮอโลคอสต์ แต่ยังอยู่ ในอาณานิคมบริบทเช่นบอมส์ยาง ในอเมริกาใต้และคองโก และ ในการพิชิตยุโรปทวีปอเมริกาและอาณานิคมแอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การเหยียดเชื้อชาติประกอบด้วยอุดมการณ์ที่แตกต่างกันและมักจะเกี่ยวข้องกับหลายศูนย์กลางรอบแนวคิดของการแข่งขัน สายพันธุ์ที่ทันสมัยจะขึ้นอยู่บ่อยครั้งในการรับรู้ทางสังคมของความแตกต่างทางชีวภาพระหว่างประชาชน เหล่านี้สามารถใช้รูปแบบของการกระทำทางสังคมการปฏิบัติหรือความเชื่อหรือระบบการเมืองที่พิจารณาการแข่งขันที่แตกต่างกันจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นเนื้อแท้ที่เหนือกว่าหรือด้อยกว่ากันขึ้นอยู่กับลักษณะที่สืบทอดสันนิษฐานที่ใช้ร่วมกันความสามารถหรือคุณภาพ นอกจากนี้ยังอาจถือได้ว่าสมาชิกของการแข่งขันที่แตกต่างกันควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน. [1] [2] [3] ในบรรดาคำถามเกี่ยวกับวิธีการกำหนดชนชาติมีคำถามที่ว่าจะรวมถึงรูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่ไม่ได้ตั้งใจเช่นการทำสมมติฐานเกี่ยวกับ การตั้งค่าหรือความสามารถของคนอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติแบบแผนไม่ว่าจะรวมถึงรูปแบบสัญลักษณ์หรือสถาบันของการเลือกปฏิบัติเช่นการไหลเวียนของแบบแผนชาติพันธุ์ผ่านสื่อและไม่ว่าจะรวมถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองของการแบ่งชั้นทางสังคมที่บางครั้งอาจมีส่วนประกอบเชื้อชาติ. ในสังคมวิทยาและ จิตวิทยาคำจำกัดความบางส่วนเท่านั้นรวมถึงรูปแบบที่ร้ายแรงของการเลือกปฏิบัติอย่างมีสติ. [4] [5] คำจำกัดความบางส่วนของการเหยียดสีผิว ได้แก่ พฤติกรรมการเลือกปฏิบัติและความเชื่อบนพื้นฐานของวัฒนธรรมแห่งชาติเชื้อชาติวรรณะหรือแบบแผนทางศาสนา. [2] [6] มุมมองหนึ่ง ถือได้ว่าการเหยียดสีผิวเป็นที่เข้าใจกันดีในฐานะ 'อคติบวกอำนาจเพราะโดยการสนับสนุนของอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจอคติจะไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายปรากฏการณ์สถาบันหรือสังคม. [7] [8] [9] ในขณะที่การแข่งขัน และชาติพันธุ์จะถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แยกต่างหากในทางสังคมศาสตร์ร่วมสมัยสองคำมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของความเท่าเทียมกันในการใช้งานที่นิยมและเก่าวรรณกรรมสังคมศาสตร์ การเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติมักจะใช้ในการอธิบายถึงการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานชาติพันธุ์หรือวัฒนธรรมที่เป็นอิสระจากความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเหล่านี้จะอธิบายว่าเชื้อชาติ ตามที่ประชุมยูเอ็นไม่มีความแตกต่างระหว่างคำที่เหยียดผิวและการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์และที่เหนือกว่าบนพื้นฐานของความแตกต่างทางเชื้อชาติเป็นวิทยาศาสตร์เท็จ condemnable ศีลธรรมสังคมที่ไม่เป็นธรรมและอันตรายและนั่นก็คือเหตุผลสำหรับการเหยียดผิวไม่มีในทฤษฎี หรือในทางปฏิบัติได้ทุกที่. [10] ในประวัติศาสตร์ชนชาติเป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะและการค้าทาสมหาสมุทรแอตแลนติก [11] และอยู่เบื้องหลังรัฐบนพื้นฐานของการแยกเชื้อชาติเช่นสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่สิบเก้าและต้นศตวรรษที่ยี่สิบและแอฟริกาใต้ภายใต้ การแบ่งแยกสีผิว. [12] การปฏิบัติและอุดมการณ์ของชนชาติจะถูกประณามจากสากลแห่งสหประชาชาติในปฏิญญาสิทธิมนุษยชน. [13] นอกจากนี้ยังได้รับการเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการหนุนทางการเมืองและอุดมการณ์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เช่นหายนะ แต่ยังอยู่ใน บริบทอาณานิคมเช่นยางบอมส์ในอเมริกาใต้และคองโกและในการพิชิตยุโรปอเมริกาและการล่าอาณานิคมของทวีปแอฟริกาเอเชียและออสเตรเลีย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ซึ่งประกอบด้วยหลายที่แตกต่างกันและอุดมการณ์ทางการเมืองมักจะเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางรอบแนวคิดของการแข่งขัน สายพันธุ์สมัยใหม่มักจะใช้ในการรับรู้ทางสังคมของความแตกต่างทางชีววิทยาระหว่างประชาชน นี้สามารถใช้รูปแบบของการกระทำในสังคม การปฏิบัติหรือความเชื่อ หรือระบบการเมืองที่พิจารณาการแข่งขันที่แตกต่างกันได้รับการจัดอันดับเป็นอย่างโดยเนื้อแท้ที่เหนือกว่าหรือด้อยกว่ากันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ใช้ร่วมกันลักษณะสืบต่อความสามารถหรือคุณภาพ มันอาจจะยังถือว่าสมาชิกของการแข่งขันที่แตกต่างกันควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน [ 1 ] [ 2 ] [ 3 ]

ในบรรดาคำถามเกี่ยวกับนิยามของการเหยียดเชื้อชาติ จะถามว่ามีรูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่น การตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับลักษณะหรือความสามารถของผู้อื่นบนพื้นฐานของเชื้อชาติแบบแผน ,ไม่ว่าการรวมรูปแบบสัญลักษณ์หรือ institutionalized ของการเลือกปฏิบัติ เช่น การไหลเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ผ่านสื่อ และไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง sociopolitical ของชนชั้นที่บางครั้งมีองค์ประกอบทางเชื้อชาติ

ในสังคมวิทยาและจิตวิทยา บางนิยามเท่านั้น รวมถึงรูปแบบ consciously เนื้อร้ายของการแบ่งแยก[ 4 ] [ 5 ] บางนิยามของการเหยียดเชื้อชาติ รวมถึงพฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติและความเชื่อตามวัฒนธรรม ชาติ เชื้อชาติ วรรณะ หรือศาสนา พวกเขา [ 2 ] [ 6 ] มุมมองหนึ่งถือว่าเหยียดเชื้อชาติดีที่สุดเข้าใจเป็นพลังบวก ' อคติ ' เพราะโดยการสนับสนุนของอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ อคติ จะไม่เป็น สามารถแสดงรายการเป็นเส้นแบ่งพรมแดนทางวัฒนธรรม สังคม สถาบันหรือปรากฏการณ์[ 7 ] [ 8 ] [ 9 ]

ระหว่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์จะถือว่าแยกปรากฏการณ์ร่วมสมัยทางสังคมศาสตร์ สองแง่ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการใช้ที่นิยมและแก่สังคมวรรณกรรม การเหยียดเชื้อชาติและเหยียดผิวมักจะใช้เพื่ออธิบายถึงการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานชาติพันธุ์หรือวัฒนธรรม อิสระว่า ความแตกต่างเหล่านี้จะอธิบายเป็นเชื้อชาติตามอนุสัญญาสหประชาชาติไม่มีความแตกต่างระหว่างเงื่อนไขการเหยียดผิว และการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเหนือกว่าตามความแตกต่างทางเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดศีลธรรม condemnable สังคมไม่ยุติธรรมและอันตราย และนั่นคือเหตุผลที่ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ในทางทฤษฎี หรือ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ [ 10 ]

ในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะและการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก [ 11 ] และหลังสหรัฐอเมริกาบนพื้นฐานของการแยกเชื้อชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบต้น และการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ [ 12 ] การปฏิบัติและอุดมการณ์ของการเหยียดเชื้อชาติจะสามารถลงโทษโดยสหประชาชาติในปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน[ 13 ] และยังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมืองและอุดมการณ์พื้นฐานของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่น ความหายนะ แต่ยังอยู่ในอาณานิคมบริบทเช่นยางบูมในอเมริกาใต้ และคองโก และในชัยชนะของยุโรปอเมริกาและการล่าอาณานิคมในแอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย