A pesticide used prior to the early

A pesticide used prior to the early 1980s and found in milk at that time may be associated with signs of Parkinson's disease in the brain, according to a study published in the December 9, 2015, online issue of Neurology®, the medical journal of the American Academy of Neurology.

"The link between dairy products and Parkinson's disease has been found in other studies," said study author R. D. Abbott, PhD, with the Shiga University of Medical Science in Otsu, Japan. "Our study looked specifically at milk and the signs of Parkinson's in the brain."

For the study, 449 Japanese-American men with an average age of 54 who participated in the Honolulu-Asia Aging Study were followed for more than 30 years and until death, after which autopsies were performed. Tests looked at whether participants had lost brain cells in the substantia nigra area of the brain, which occurs in Parkinson's disease and can start decades before any symptoms begin. Researchers also measured in 116 brains the amount of residue of a pesticide called heptachlor epoxide. The pesticide was found at very high levels in the milk supply in the early 1980s in Hawaii, where it was used in the pineapple industry. It was used to kill insects and was removed from use in the US around that time. The pesticide may also be found in well water.

The study found that nonsmokers who drank more than two cups of milk per day had 40 percent fewer brain cells in that area of the brain than people who drank less than two cups of milk per day. For those who were smokers at any point, there was no association between milk intake and loss of brain cells. Previous studies have shown that people who smoke have a lower risk of developing Parkinson's disease.

Residues of heptachlor epoxide were found in 90 percent of people who drank the most milk, compared to 63 percent of those who did not drink any milk. Abbott noted that the researchers do not have evidence that the milk participants drank contained heptachlor epoxide. He also stated that the study does not show that the pesticide or milk intake cause Parkinson's disease; it only shows an association.

"There are several possible explanations for the association, including chance," said Honglei Chen, MD, PhD, with the National Institute of Environmental Health Sciences and a member of the American Academy of Neurology, who wrote a corresponding editorial. "Also, milk consumption was measured only once at the start of the study, and we have to assume that this measurement represented participants' dietary habits over time."

Chen noted that the study is an excellent example of how epidemiological studies can contribute to the search for causes of Parkinson's disease.

This study was supported by the National Institute on Aging, the National Heart, Lung, and Blood Institute, the National Institute of Neurological Disorders and Stroke, the Department of the Army, the Department of Veterans Affairs, and the Kuakini Medical Center.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สารกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ก่อนที่จะมีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 และพบในนมในเวลานั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับอาการของโรคพาร์กินสันในสมองตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน 9 ธันวาคม 2015 ฉบับออนไลน์ของNeurology®, วารสารการแพทย์ของ สถาบันประสาทวิทยาอเมริกัน. "การเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์นมและโรคพาร์กินสันได้พบในการศึกษาอื่น ๆ " การศึกษาผู้เขียน RD แอ๊บบอต, เอกกล่าวว่ากับ Shiga มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ใน Otsu ญี่ปุ่น "การศึกษาของเรามองเฉพาะที่นมและอาการของโรคพาร์กินสันในสมอง." สำหรับการศึกษา 449 คนญี่ปุ่นอเมริกันที่มีอายุเฉลี่ย 54 คนที่เข้าร่วมในการศึกษาอายุโฮโนลูลูเอเชียตามมานานกว่า 30 ปีและจน ตายหลังจากที่ได้ดำเนินการชันสูตรศพ การทดสอบมองที่ว่าผู้เข้าร่วมได้สูญเสียเซลล์สมองในพื้นที่ substantia นิโกรของสมองที่เกิดขึ้นในโรคพาร์กินสันและสามารถเริ่มต้นทศวรรษที่ผ่านมาก่อนที่จะเริ่มต้นอาการใด ๆ นักวิจัยยังวัดใน 116 สมองปริมาณของสารตกค้างสารกำจัดศัตรูพืชที่เรียกว่าอิพอกไซด์ heptachlor สารกำจัดศัตรูพืชถูกพบในระดับที่สูงมากในการจัดหานมในต้นทศวรรษ 1980 ในฮาวายที่ที่มันถูกใช้ในอุตสาหกรรมสับปะรด มันถูกใช้ในการฆ่าแมลงและถูกลบออกจากการใช้งานในสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้น สารกำจัดศัตรูพืชนอกจากนี้ยังอาจพบได้ในน้ำดี. การศึกษาพบว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ที่ดื่มมากกว่าสองถ้วยนมต่อวันมีเซลล์สมองน้อยกว่าร้อยละ 40 ในพื้นที่ของสมองมากกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่าสองถ้วยนมต่อวันที่ สำหรับผู้ที่มีผู้สูบบุหรี่ที่จุดใดมีความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคนมและการสูญเสียเซลล์สมองไม่มี การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าคนที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่ำของการพัฒนาโรคพาร์กินสัน. ตกค้างของ heptachlor อิพอกไซด์ที่พบในร้อยละ 90 ของคนที่ดื่มนมมากที่สุดเมื่อเทียบกับร้อยละ 63 ของผู้ที่ไม่ได้ดื่มนมใด ๆ แอ๊บบอตกล่าวว่านักวิจัยไม่ได้มีหลักฐานว่าผู้เข้าร่วมนมดื่มที่มี heptachlor อิพอกไซด์ เขายังระบุว่าการศึกษาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าสารกำจัดศัตรูพืชหรือนมปริมาณก่อให้เกิดโรคพาร์กินสัน; มันแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยง. "มีคำอธิบายที่เป็นไปได้หลายอย่างสำหรับสมาคมรวมถึงโอกาสที่จะมี" Honglei เฉิน, MD, PhD, กับสถาบันแห่งชาติของวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อมและการเป็นสมาชิกของสถาบันประสาทวิทยาอเมริกันผู้เขียนกล่าวว่าสอดคล้องกัน บทบรรณาธิการ "นอกจากนี้การบริโภคนมวัดเพียงครั้งเดียวในช่วงเริ่มต้นของการศึกษาและเราต้องคิดว่าวัดนี้เป็นตัวแทนของพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้เข้าร่วมเมื่อเวลาผ่านไป." เฉินตั้งข้อสังเกตว่าการศึกษาเป็นตัวอย่างที่ดีของวิธีการศึกษาทางระบาดวิทยาสามารถนำไปสู่ ค้นหาสาเหตุของโรคพาร์กินสัน. การศึกษาครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยสถาบันแห่งชาติที่จจิ้ง, หัวใจแห่งชาติปอดและเลือดสถาบันสถาบันแห่งชาติของความผิดปกติของระบบประสาทและโรคหลอดเลือดสมองที่กรมทหารกรมกิจการทหารผ่านศึกและ ศูนย์การแพทย์ Kuakini

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ยาฆ่าแมลงที่ใช้ก่อนในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 และพบในนมในเวลาที่อาจจะเกี่ยวข้องกับอาการของโรคพาร์กินสัน ใน สมอง ตามการศึกษาที่เผยแพร่ในวันที่ 9 ธันวาคม 2015 ออนไลน์ ปัญหาทางระบบประสาท® , วารสารทางการแพทย์ของอเมริกาสถาบันประสาทวิทยา" การเชื่อมโยงระหว่างนม และพาร์กินสัน ได้พบในการศึกษาอื่น ๆ กล่าวว่า การศึกษาผู้เขียน R . D . Abbott , ปริญญาเอก , กับชิงะมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ออทึซุ ญี่ปุ่น " . การศึกษาของเราดูเฉพาะนมและอาการของพาร์กินสันในสมอง "สำหรับการศึกษา , 449 คนญี่ปุ่นอเมริกันเฉลี่ยอายุ 54 ที่เข้าร่วมในฮอนโนลูลูเอเชียศึกษาตามอายุกว่า 30 ปี จนเสียชีวิต ซึ่งหลังจากการชันสูตรศพ ทดสอบดูว่าผู้เข้าร่วมได้สูญเสียเซลล์สมองใน substantia ไนกร้าบริเวณสมอง ซึ่งเกิดขึ้นในโรคพาร์กินสัน และสามารถเริ่มต้นทศวรรษก่อนที่อาการเริ่มต้น นักวิจัยยังวัดใน 116 สมองปริมาณสารตกค้างของยาฆ่าแมลงที่เรียกว่า heptachlor epoxide สารเคมีที่พบในระดับที่สูงมากในการจัดหานมในต้นทศวรรษ 1980 ในฮาวาย ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมสับปะรด มันถูกใช้เพื่อฆ่าแมลงและถูกลบออกจากการใช้ในสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้น ยาฆ่าแมลง อาจพบได้ในน้ำผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มกันมากกว่าสองถ้วยของนมต่อวันได้ 40 เปอร์เซ็นต์น้อยกว่าเซลล์สมองในบริเวณสมองมากกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่าสองถ้วยของนมต่อวัน สำหรับผู้สูบบุหรี่ที่จุดใด ๆ ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคนมและการสูญเสียของเซลล์สมอง การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่า คนที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่ำของการพัฒนาโรคพาร์กินสัน .พบ heptachlor epoxide พบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ดื่มนมมากที่สุด เมื่อเทียบกับร้อยละ 63 ของผู้ที่ไม่ได้ดื่มนม Abbott กล่าวว่านักวิจัยไม่ได้มีหลักฐานว่า ผู้ที่ดื่มนมที่มีอยู่ heptachlor epoxide เขายังระบุว่า ผลการศึกษาไม่พบว่าสารกำจัดศัตรูพืชหรือนมบริโภค เพราะสาเหตุของโรค ; เพียงแสดงสมาคม" มีหลายที่สุดคำอธิบายสำหรับสมาคมรวมทั้งโอกาส " Honglei เฉิน , MD , PhD , สถาบันแห่งชาติของวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเป็นสมาชิกของ American Academy ประสาทวิทยา , ผู้เขียน " บทความที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การบริโภคนมได้เพียงครั้งเดียวเมื่อเริ่มการศึกษาและเราสันนิษฐานว่า วัดนี้เป็นตัวแทนของผู้เข้าร่วมที่มีนิสัยตลอดเวลา "เฉินกล่าวว่า การศึกษาเป็นตัวอย่างที่ดีของวิธีการศึกษาทางระบาดวิทยา สามารถมีส่วนร่วมในการค้นหาสาเหตุของพาร์กินสันการศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันแห่งชาติเกี่ยวกับอายุ ชาติหัวใจปอดและเลือดสถาบัน , สถาบันแห่งชาติของ neurological disorders และโรคหลอดเลือดสมอง กรมทหาร กรมกิจการทหารผ่านศึก และ kuakini ศูนย์การแพทย์ .