Science says lasting relationships

Science says lasting relationships come down to—you guessed it—kindness and generosity.
American couples will say “I do,” committing to a lifelong relationship that will be full of friendship, joy, and love that will carry them forward to their final days on this earth.
The majority of marriages fail, either ending in divorce and separation or devolving into bitterness and dysfunction.
Psychologist John Gottman was one of those researchers.
John Gottman began gathering his most critical findings in 1986, when he set up “The Love Lab” with his colleague Robert Levenson at the University of Washington. Gottman and Levenson brought newlyweds into the lab and watched them interact with each other.
From the data they gathered, Gottman separated the couples into two major groups: the masters and the disasters.
Research independent from theirs has shown that kindness (along with emotional stability) is the most important predictor of satisfaction and stability in a marriage.
There are two ways to think about kindness.
One way to practice kindness is by being generous about your partner’s intentions.
Another powerful kindness strategy revolves around shared joy.
In most marriages, levels of satisfaction drop dramatically within the first few years together. But among couples who not only endure, but live happily together for years and years, the spirit of kindness and generosity guides them forward.
In most marriages, levels of satisfaction drop dramatically within the first few years together. But among couples who not only endure, but live happily together for years and years, the spirit of kindness and generosity guides them forward.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

วิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมาลงไป — คุณเดาคือน้ำใจและความเอื้ออาทรคู่รักชาวอเมริกันจะบอกว่า "ฉันทำ ยอมรับสัมพันธ์รองที่จะเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความสุข และความรักที่จะออกไปข้างหน้าวันสุดท้ายของพวกเขาในโลกนี้ส่วนใหญ่ของชีวิตสมรสล้มเหลว สิ้นสุดการหย่าและแยก หรือ devolving รสขมและทำจิตวิทยา Gottman จอห์นเป็นหนึ่งในนักวิจัยเหล่านั้นจอห์น Gottman เริ่มรวบรวมการค้นพบที่สำคัญที่สุดของเขาในปี 1986 เมื่อเขาตั้ง "เดอะเลิฟแล็บ" กับเพื่อนร่วมงานของเขาโรเบิร์ต Levenson ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน Gottman และ Levenson นำคู่บ่าวสาวเข้ามาในห้องปฏิบัติการ และเฝ้าดูพวกเขาโต้ตอบกัน จากข้อมูลรวบรวม Gottman แบ่งบริการเป็น 2 กลุ่มหลัก: แบบและภัยพิบัตินี้วิจัยอิสระจากทั้งคู่ได้แสดงว่าเมตตา (พร้อมกับความมั่นคงทางอารมณ์) จำนวนประตูที่สำคัญที่สุดของความพึงพอใจและความมั่นคงในการแต่งงานมีสองวิธีคิดเมตตาวิธีหนึ่งในการปฏิบัติเมตตาโดยกว้างขวางเกี่ยวกับความตั้งใจของคู่ของคุณได้อื่นมีเมตตากลยุทธ์ revolves รอบร่วมสุขในชีวิตสมรสมากที่สุด ระดับความพึงพอใจลดลงอย่างมากภายในปีกัน แต่ระหว่างคู่รักที่ไม่ยั่งยืน แต่อยู่กันอย่างมีความสุขสำหรับปีและปี จิตวิญญาณของความเอื้ออาทรและเมตตาแนะนำพวกเขาไปข้างหน้าในชีวิตสมรสมากที่สุด ระดับความพึงพอใจลดลงอย่างมากภายในปีกัน แต่ระหว่างคู่รักที่ไม่ยั่งยืน แต่อยู่กันอย่างมีความสุขสำหรับปีและปี จิตวิญญาณของความเอื้ออาทรและเมตตาแนะนำพวกเขาไปข้างหน้า

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

วิทยาศาสตร์กล่าวว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนลงมาเพื่อคุณ guessed มัน-ความเมตตาและความเอื้ออาทร.
คู่รักชาวอเมริกันจะบอกว่า "ฉันทำ" การกระทำจะมีความสัมพันธ์ตลอดชีวิตที่จะเต็มไปด้วยมิตรภาพความสุขและความรักที่จะนำพวกเขาไปข้างหน้าเพื่อวันสุดท้ายของพวกเขา บนโลกนี้.
ส่วนใหญ่ของการแต่งงานที่ล้มเหลวทั้งสิ้นสุดในการหย่าร้างและการแยกหรือจุติเป็นความขมขื่นและความผิดปกติ.
จอห์นนักจิตวิทยา Gottman เป็นหนึ่งในนักวิจัยเหล่านั้น.
จอห์น Gottman เริ่มรวบรวมผลการวิจัยที่สำคัญที่สุดของเขาในปี 1986 เมื่อเขาตั้งค่า "ความรัก Lab "กับเพื่อนร่วมงานของเขาโรเบิร์ต Levenson ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน Gottman และ Levenson นำคู่บ่าวสาวเข้าไปในห้องปฏิบัติการและเฝ้าดูพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน.
จากข้อมูลที่พวกเขารวบรวม Gottman คู่แยกออกเป็นสองกลุ่มหลัก:. โทและภัยพิบัติ
วิจัยอิสระจากพวกเขาได้แสดงให้เห็นความมีน้ำใจที่ (พร้อมกับความมั่นคงทางอารมณ์ ) เป็นตัวทำนายที่สำคัญที่สุดของความพึงพอใจและความมั่นคงในการแต่งงาน.
มีสองวิธีที่จะคิดเกี่ยวกับความเมตตา. เป็น
วิธีการหนึ่งในการฝึกความเมตตาคือการเป็นคนใจกว้างเกี่ยวกับความตั้งใจของคู่ของคุณ.
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ความเมตตาที่มีประสิทธิภาพหมุนความสุขที่ใช้ร่วมกันทั่ว.
ในการแต่งงานมากที่สุด ระดับความพึงพอใจลดลงอย่างมากในช่วงสองสามปีแรกด้วยกัน แต่ในหมู่คู่รักที่ไม่เพียง แต่ทน แต่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันมานานหลายปีและปีที่ผ่านมาจิตวิญญาณของการแนะนำความเมตตาและความเอื้ออาทรพวกเขาไปข้างหน้า.
ในการแต่งงานส่วนใหญ่ระดับของความพึงพอใจลดลงอย่างมากในช่วงสองสามปีแรกด้วยกัน แต่ในหมู่คู่รักที่ไม่เพียง แต่ทน แต่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันมานานหลายปีและปีที่ผ่านมาจิตวิญญาณของความเมตตาและความเอื้ออาทรแนะนำพวกเขาไปข้างหน้า

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บอกว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมาลงคุณ guessed มันน้ำใจและความเอื้ออาทร คู่รัก
อเมริกันจะพูดว่า " ฉันทำ " ยืนยันความสัมพันธ์ตลอดชีวิตนั้นจะเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความสุข และความรักจะพาพวกเขาไปข้างหน้าในวันสุดท้ายของพวกเขาบนแผ่นดินโลกนี้
ส่วนใหญ่ของการแต่งงานที่ล้มเหลวให้สิ้นสุดในหย่า และการแยกหรือตกที่นั่งลำบากในความขมและความผิดปกติ .
จอ น กอตต์แมน นักจิตวิทยา เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ จอ น กอตต์แมนเริ่มรวบรวมข้อมูล
ที่สำคัญที่สุดของเขาในปี 1986 เมื่อเขาตั้ง " ความรักในฝัน " กับเพื่อนร่วมงานของเขาโรเบิร์ตเลวินสันที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และนำคู่บ่าวสาว น กอตต์แมนเลวินสันใน Lab และดูพวกเขาโต้ตอบกับแต่ละอื่น ๆ
จากข้อมูลที่พวกเขารวบรวม น กอตต์แมนแยกคู่ออกเป็นสองกลุ่มหลัก :ต้นแบบและภัยพิบัติ
วิจัยอิสระจากพวกเขาได้แสดงความเมตตา ( พร้อมกับความมั่นคงทางอารมณ์ ) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดทำนายความพึงพอใจและความมั่นคงในชีวิตคู่
มีสองวิธีที่จะคิดเกี่ยวกับความเมตตา
วิธีหนึ่งในการฝึกความเมตตา โดยใจดีเกี่ยวกับความตั้งใจของคู่ของคุณ .
กลยุทธ์เมตตาที่มีประสิทธิภาพ อีกหมุนรอบ
ความสุขแบ่งปันในการแต่งงานมากที่สุด ระดับของความพึงพอใจลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปีแรกด้วยกัน แต่ระหว่างคู่รักที่ไม่เพียง แต่ทน แต่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสำหรับปีและปี วิญญาณแห่งความเมตตาและความกรุณานำพวกเขาไปข้างหน้า .
ในการแต่งงานมากที่สุด ระดับของความพึงพอใจลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปีแรกด้วยกัน แต่ระหว่างคู่รักที่ไม่เพียง แต่ทนแต่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสำหรับปีและปี วิญญาณแห่งความเมตตาและความกรุณานำพวกเขาไปข้างหน้า .