AbstractOBJECTIVES:To assess whethe

Abstract
OBJECTIVES:
To assess whether the perception of enhanced access by parents in their child's primary care and main specialty practices is associated with preference for contacting either practice when problems arise with a child's chronic condition.
STUDY DESIGN:
In this cross-sectional survey study of parents whose children use both primary and specialty practices, we assessed perceptions of 3 components of enhanced access: (1) appointment availability when needed, (2) electronic communication with practices, and (3) other staff that help manage a child's health care needs. Parents also indicated which practice they would contact for an exacerbation of the main chronic condition for which the child receives specialty care. We used logistic regression to examine relationships of enhanced access components in both practices with parents' indicated practice.
RESULTS:
Among 609 parents, 244 (40%) would contact primary care and 365 (60%) the main specialty practice for a chronic condition exacerbation. Although parents perceived enhanced access components with similar frequency in both settings, enhanced access was associated only with preference for contacting the main specialty practice: e-mail communication (aOR for preferring the specialty practice 2.0 [1.3, 3.2]) and staff that coordinate a child's care needs (aOR 2.8 [1.4, 5.9]).
CONCLUSIONS:
Enhanced access is associated with preference for addressing chronic condition exacerbations in specialty but not primary care. Future study should further identify factors important to parents in deciding when and how to contact practices and should seek to develop family-centered communication within medical homes that integrate primary and specialty care.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

บทคัดย่อวัตถุประสงค์:เพื่อประเมินว่าการรับรู้ถึงขั้นสูงโดยผู้ปกครองในการดูแลและปฏิบัติการพิเศษหลักของเด็กจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะการติดต่อปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อปัญหาเกิดขึ้นกับเด็กโรคเรื้อรังการออกแบบการศึกษา:ในการศึกษานี้สำรวจโรงพยาบาลของพ่อแม่เด็กใช้ปฏิบัติทั้งหลักและเฉพาะทาง เราประเมินรับรู้องค์ประกอบที่ 3 ของเข้าเพิ่ม: (1) แต่งงานเมื่อจำเป็น การสื่อสาร (2) อิเล็กทรอนิกส์กับปฏิบัติ และ (3) พนักงานที่ช่วยจัดการความต้องการดูแลสุขภาพของเด็ก ผู้ปกครองระบุปฏิบัติซึ่งพวกเขาจะติดต่อมีอาการกำเริบของโรคเรื้อรังหลักที่เด็กได้รับการดูแลพิเศษ เราใช้การถดถอยโลจิสติกการตรวจสอบความสัมพันธ์ของส่วนประกอบที่เพิ่มเข้าในการปฏิบัติกับการปฏิบัติตามพ่อแม่ทั้งสองผลลัพธ์:ในหมู่พ่อแม่ 609, 244 (40%) จะติดต่อดูแลและ 365 (60%) การปฏิบัติพิเศษหลักสำหรับอาการกำเริบเป็นอาการเรื้อรัง แม้ว่าพ่อแม่รับรู้เพิ่มคอมโพเนนต์การเข้าถึง ด้วยความถี่ที่คล้ายกันในทั้งสองการตั้งค่า เพิ่มเข้าถูกเชื่อมโยงกับการกำหนดลักษณะการติดต่อการปฏิบัติพิเศษหลักเท่านั้น: อีสาร (อ้อสำหรับการกำหนดลำดับการปฏิบัติพิเศษ 2.0 [1.3, 3.2]) และพนักงานดูแลประสานงานให้เด็ก (อ้อ 2.8 [1.4, 5.9])สรุป:เข้าขั้นสูงเกี่ยวข้องกับความต้องการจัดการกับโรคเรื้อรังกำเริบในชนิดพิเศษแต่ไม่ดูแลหลัก การศึกษาในอนาคตต่อไปควรระบุปัจจัยสำคัญที่ผู้ปกครองในการตัดสินใจและวิธีการติดต่อวิธีปฏิบัติเมื่อ และควรพยายามพัฒนาครอบครัวเป็นศูนย์กลางการสื่อสารภายในบ้านที่ทางการแพทย์ที่ดูแลหลักและพิเศษรวม

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์:
เพื่อประเมินว่าการรับรู้ของการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้นโดยพ่อแม่ในการดูแลหลักของเด็กและการปฏิบัติที่พิเศษหลักมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งค่าสำหรับการติดต่อทั้งทางปฏิบัติเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับเด็กเป็นภาวะเรื้อรัง.
การศึกษาการออกแบบ:
ในการศึกษานี้สำรวจภาคตัดขวางของ พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีเด็กใช้ทั้งหลักและพิเศษการปฏิบัติที่เราประเมินการรับรู้ 3 ส่วนของการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น (1) ความพร้อมรับการแต่งตั้งเมื่อมีความจำเป็น (2) การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์กับการปฏิบัติและ (3) พนักงานอื่น ๆ ที่ช่วยในการจัดการของเด็กที่ต้องการการดูแลสุขภาพ . ผู้ปกครองยังชี้ให้เห็นการปฏิบัติที่พวกเขาจะติดต่อเพื่อการกำเริบของโรคเรื้อรังหลักสำหรับการที่เด็กได้รับการดูแลพิเศษ เราใช้การถดถอยโลจิสติกในการตรวจสอบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้นในการปฏิบัติทั้งที่มีการปฏิบัติที่ระบุพ่อแม่.
ผล:
ในบรรดา 609 ผู้ปกครอง 244 (40%) จะติดต่อดูแลหลักและ 365 (60%) การปฏิบัติพิเศษหลักสำหรับสภาพอาการกำเริบเรื้อรัง . แม้ว่าพ่อแม่รับรู้ส่วนประกอบการเข้าถึงเพิ่มขึ้นด้วยความถี่ที่คล้ายกันในการตั้งค่าทั้งการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้นได้เกี่ยวข้องเฉพาะกับการตั้งค่าสำหรับการติดต่อการปฏิบัติพิเศษหลัก: การสื่อสาร E-mail (aOR สำหรับเลือกปฏิบัติพิเศษ 2.0 [1.3, 3.2]) และพนักงานที่ประสานงาน เด็กต้องการการดูแล (aOR 2.8 [1.4, 5.9]).
สรุป
การเข้าถึงที่เพิ่มขึ้นมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งค่าสำหรับที่อยู่กำเริบของโรคเรื้อรังในพิเศษ แต่ดูแลไม่หลัก การศึกษาในอนาคตต่อไปควรระบุปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองในการตัดสินใจเมื่อใดและวิธีการติดต่อการปฏิบัติและควรหาทางที่จะพัฒนาการสื่อสารในครอบครัวเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ภายในบ้านที่รวมการดูแลรักษาเบื้องต้นและพิเศษ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บทคัดย่อวัตถุประสงค์ :เพื่อประเมินว่า การเพิ่มการเข้าถึง โดยผู้ปกครองของเด็กการดูแลเบื้องต้นและการปฏิบัติพิเศษหลักเกี่ยวข้องกับการติดต่อกับการปฏิบัติเมื่อเกิดปัญหากับอาการเรื้อรังของเด็กรูปแบบการศึกษา :ในการศึกษาครั้งนี้จึงได้ของผู้ปกครองใช้ทั้งหลักและการปฏิบัติที่พิเศษ เราประเมินการรับรู้ของ 3 องค์ประกอบของการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น ( 1 ) นัดพร้อมเมื่อต้องการ ( 2 ) การสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์กับการปฏิบัติ และ ( 3 ) พนักงานอื่น ๆที่ช่วยในการจัดการของเด็กต้องการการดูแลสุขภาพ พ่อแม่ยังพบการปฏิบัติที่พวกเขาจะติดต่อเพื่อของหลักกำเริบเรื้อรังเงื่อนไขที่เด็กได้รับการดูแลพิเศษ เราใช้ Logistic Regression เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการเข้าถึงส่วนประกอบทั้งในการปฏิบัติกับพ่อแม่พบการปฏิบัติผลลัพธ์ :แล้วพ่อแม่ของ 244 ( 40% ) จะติดต่อปฐมภูมิและ 365 ( 60% ) ฝึกพิเศษหลักสำหรับอาการกำเริบเรื้อรัง ถึงแม้ว่า พ่อแม่รับรู้เพิ่มส่วนประกอบเข้าถึงกับความถี่ที่คล้ายกันทั้งในการตั้งค่า การเข้าถึงการปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อกับการปฏิบัติพิเศษหลัก : การสื่อสาร E-mail ( อ้อ ให้เลือกฝึกพิเศษ [ 1.3 ] 2.0 , 3.2 ) และเจ้าหน้าที่ที่ประสานงานการดูแลของเด็ก ความต้องการ ( aor 2.8 [ 1.4 5.9 ] )สรุปการเข้าถึงการปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขอาการเรื้อรังผู้ป่วยพิเศษ แต่ไม่ใช่หลักในการดูแล การศึกษาในอนาคตควรระบุเพิ่มเติม ปัจจัยที่สำคัญผู้ปกครองในการตัดสินใจเมื่อและวิธีการติดต่อ วิธีปฏิบัติ และควรแสวงหาเพื่อพัฒนาครอบครัวเป็นศูนย์กลางการสื่อสารภายในทางการแพทย์ที่บูรณาการหลักบ้านและการดูแลพิเศษ