Processing the Difference of Two So

Processing the Difference of Two Sorted Sets
OutputIterator
set_difference (InputIterator source1Beg, InputIterator source1End,
InputIterator source2Beg, InputIterator source2End,
OutputIterator destBeg)
OutputIterator
set_difference (InputIterator source1Beg, InputIterator source1End,
InputIterator source2Beg, InputIterator source2End,
OutputIterator destBeg, BinaryPredicate op)
• Both forms merge the elements of the sorted source ranges [source1Beg,source1End) and
[source2Beg,source2End) so that the destination range starting with destBeg contains all elements
that are in the first source range but not in the second source range. For example, calling
set_difference() for
1 2 2 4 6 7 7 9
and
2 2 2 3 6 6 8 9
results in
1 4 7 7
• All elements in the destination range are in sorted order.
• Duplicates are possible if elements occur more than once in the first source range. The number
of occurrences of equal elements in the destination range is the difference between the number
of their occurrences in the first source range less the number of occurrences in the second source
range. If there are more occurrences in the second source range, the number of occurrences in
the destination range is zero.
• Both forms return the position after the last merged element in the destination range.
• op is an optional binary predicate to be used as the sorting criterion:
op(elem1,elem2)
• The source ranges are not modified.
• The caller has to ensure that the ranges are sorted according to the sorting criterion on entry.
• The caller must ensure that the destination range is big enough or that insert iterators are used.
• The destination range should not overlap the source ranges.
• Complexity: linear (at most, 2*(numElems1+numElems2) - 1 comparisons).
See page 620 for an example of the use of set_difference(). This example also demonstrates
how it differs from other algorithms that combine elements of two sorted sequences.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ประมวลผลความแตกต่างของสองเรียงชุด
OutputIterator
set_difference (InputIterator source1Beg, InputIterator source1End,
InputIterator source2Beg, InputIterator source2End,
OutputIterator destBeg)
OutputIterator
set_difference (InputIterator source1Beg, InputIterator source1End,
InputIterator source2Beg, InputIterator source2End,
OutputIterator destBeg, BinaryPredicate op)
•รูปแบบผสานองค์ประกอบของข้อมูลที่เรียงลำดับ [source1Beg,source1End) and
[source2Beg,source2End) ช่วงปลายเริ่มต้น ด้วย destBeg ประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่
ที่ได้ ในช่วงต้นแรก แต่ไม่ใช่ ในช่วงเซลล์ต้นทางที่สอง ตัวอย่าง calling
set_difference() สำหรับ
1 2 2 4 6 7 7 9
และ
2 2 2 3 6 6 8 9
ผล
1 4 7 7
•มีองค์ประกอบทั้งหมดในช่วงปลายเรียงลำดับใบสั่ง
•ซ้ำจะได้องค์ประกอบเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงต้นแรก หมายเลข
ลักษณะที่ปรากฏขององค์ประกอบเท่ากับในปลายช่วงเป็นผลต่างระหว่างจำนวน
ของลักษณะที่ปรากฏในช่วงต้นแรกน้อยกว่าจำนวนในแหล่งที่สอง
ช่วง ถ้ามีเหตุการณ์ในแหล่งที่สอง ช่วง จำนวนใน
ช่วงปลายทางศูนย์
•รูปแบบกลับตำแหน่งหลังผสานองค์สุดท้ายในปลายช่วง
• op เป็นเพรดิเคตไบนารีตัวเลือกที่จะใช้เป็นเงื่อนไขการเรียงลำดับ:
op (elem1, elem2)
•แหล่งข้อมูลไม่ได้ถูกแก้ไข
•มีผู้เรียกเพื่อให้แน่ใจว่า ช่วงจะเรียงลำดับตามเกณฑ์เรียงบนรายการ
•ผู้เรียกต้องแน่ใจว่า ช่วงปลายมีขนาดใหญ่เพียงพอ หรือที่แทรกใช้ iterators
ไม่ควรเหลื่อม•ช่วงปลายช่วงต้น
•ความซับซ้อน: เส้น (มากที่สุด 2 *(numElems1 numElems2) - 1 เปรียบเทียบ)
ดูหน้า 620 สำหรับตัวอย่างการใช้ set_difference() ตัวอย่างนี้ยังแสดงให้เห็นถึง
วิธีการแตกต่างจากอัลกอริทึมอื่น ๆ ที่รวมองค์ประกอบเรียงลำดับสอง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ประมวลผลความแตกต่างสองเรียงชุด

outputiterator set_difference ( inputiterator source1beg inputiterator source1end
, , inputiterator source2beg inputiterator source2end
, ,

outputiterator destbeg ) outputiterator set_difference ( inputiterator source1beg inputiterator source1end inputiterator source2beg
, , , source2end inputiterator , outputiterator destbeg
,
binarypredicate OP )บริการทั้งสองรูปแบบผสานองค์ประกอบของเรียงที่มาช่วง [ source1beg source1end ) , และ source2beg
[ source2end ) , เพื่อให้ปลายทางช่วงเริ่มต้นด้วย destbeg ประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งหมด
ที่อยู่ในช่วงที่มาแรก แต่ไม่ได้ในช่วงแหล่งที่สอง ตัวอย่างเช่น โทร
set_difference() สำหรับ
1 2 2 4 6 7 และ 9

2 2 2 3 4 6 8 9
ผลลัพธ์ใน 7
7
1 4- องค์ประกอบทั้งหมดในช่วงปลายทางอยู่ในการเรียงลำดับ
- รายการที่ซ้ำกันจะเป็นไปได้ถ้าองค์ประกอบเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงที่มาครั้งแรก หมายเลข
เหตุการณ์ขององค์ประกอบเท่ากับในช่วงปลายทางคือความแตกต่างระหว่างจำนวน
เหตุการณ์ในแหล่งแรกช่วงที่น้อยกว่าจำนวนของเหตุการณ์ในช่วงแหล่ง
2หากมีเหตุการณ์ในช่วงแหล่งที่สอง หมายเลขของเหตุการณ์ในช่วงปลายทาง

บริการเป็นศูนย์ ทั้งรูปแบบคืนตำแหน่ง หลังล่าสุด ผสานธาตุในช่วงปลายทาง .
- OP คือตัวเลือกไบนารีประโยคที่จะใช้เป็นเกณฑ์การเรียง OP ( elem1 :
,
elem2 ) - แหล่งช่วงไม่แก้ไข
- โทรได้เพื่อให้แน่ใจว่าช่วงที่เรียงไว้ตามเกณฑ์ในการเรียงลำดับรายการ .
- โทรต้องมั่นใจว่า ช่วงปลายมีขนาดใหญ่พอ หรือใส่ iterators ใช้ .
- ช่วงปลายทางไม่ควรทับซ้อนมาช่วง
- ความซับซ้อน : เชิงเส้น ( 2 * ( numelems1 มากที่สุด numelems2 ) - 1 เปรียบเทียบ ) .
ดูหน้า 620 สำหรับตัวอย่างของการใช้ set_difference() .ตัวอย่างนี้ยังแสดงให้เห็นถึง
วิธีนั้นแตกต่างจากอัลกอริทึมอื่น ๆที่รวมองค์ประกอบสองเรียงลําดับ