• Both forms return the position of

• Both forms return the position of the first element of the last subrange matching the range
[searchBeg,searchEnd) in the range [beg,end).
• In the first form, the elements of the subrange have to be equal to the elements of the whole
range.
• In the second form, for every comparison between elements, the call of the binary predicate
op(elem,searchElem)
has to yield true.
• Both forms return end if no matching elements are found.
• Note that op should not change its state during a function call. See Section 10.1.4, page 483, for
details.
• op should not modify the passed arguments.
• See Section 6.4.1, page 203, for a discussion of how to find a subrange for which you know only
the first and the last elements.
• These algorithms were not part of the original STL. Unfortunately, they were called find_end()
instead of search_end(), which would be more consistent, because the algorithm used to search
the first subrange is called search().
• Complexity: linear (at most, numElems*numSearchElems comparisons or calls of op(), respectively).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

•รูปแบบกลับตำแหน่งขององค์ประกอบแรกของ subrange สุดท้ายตรงกับ range
[searchBeg,searchEnd) ในช่วง [beg,end)
•ในฟอร์มแรก องค์ประกอบของ subrange ที่ได้จะเท่ากับองค์ประกอบของทั้งหมด
ช่วง
•ในฟอร์มสอง ทุกการเปรียบเทียบระหว่างองค์ประกอบ การเรียกเพรดิเคตนารี
op (elem, searchElem)
มีให้จริง
•รูปแบบกลับสิ้นสุดไม่มีองค์ประกอบที่ตรงกันอยู่
•หมายเหตุ op ที่ควรเปลี่ยนสถานะในระหว่างการเรียกฟังก์ชัน ดูส่วน 10.1.4 หน้า 483
รายละเอียด
• op ควรปรับเปลี่ยนการส่งผ่านอาร์กิวเมนต์ด้วย
•ดูหัวข้อ 6.4.1 หน้า 203 สำหรับคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีการค้นหา subrange ที่คุณรู้จักเท่านั้น
ครั้งแรกและองค์สุดท้าย
•อัลกอริทึมเหล่านี้ไม่ได้ส่วนของ STL เดิม อับ พวกเขาถูกเรียกว่า find_end ()
แทน search_end() ซึ่งจะสอดคล้องมาก เนื่องจากอัลกอริทึมที่ใช้ในการค้นหา
subrange แรกคือค้นหา().
•ความซับซ้อน: เส้น (มากที่สุด numElems * numSearchElems เปรียบเทียบ หรือเรียกของ op() ตามลำดับ)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

•รูปแบบที่ทั้งสองกลับตำแหน่งขององค์ประกอบแรกของ subrange ที่ผ่านมาตรงกับช่วง
[searchBeg, searchEnd) ในช่วง [ขอจบ)
•ในรูปแบบแรกองค์ประกอบของ subrange จะต้องเท่ากับองค์ประกอบของ ทั้ง
ช่วง
•ในรูปแบบที่สองสำหรับการเปรียบเทียบระหว่างองค์ประกอบทุกการเรียกร้องของไบนารีภาค
สหกรณ์ (elem, searchElem)
มีให้ผลผลิตจริง
•รูปแบบที่ทั้งสองกลับมาในตอนท้ายถ้าไม่มีองค์ประกอบที่ตรงกันจะพบ
•หมายเหตุสหกรณ์ที่ควร ไม่ได้เปลี่ยนสถานะของตนในระหว่างการเรียกใช้ฟังก์ชัน ดูมาตรา 10.1.4, หน้า 483 สำหรับ
รายละเอียด
op •ไม่ควรปรับเปลี่ยนการขัดแย้งที่ผ่าน
•ดูมาตรา 6.4.1, หน้า 203, สำหรับการอภิปรายของวิธีการหา subrange ที่คุณรู้เพียง
ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย องค์ประกอบ
•ขั้นตอนวิธีการเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ STL เดิม แต่น่าเสียดายที่พวกเขาถูกเรียกว่า find_end ()
แทน search_end () ซึ่งจะสอดคล้องกันมากขึ้นเพราะขั้นตอนวิธีการที่ใช้ในการค้นหา
subrange แรกที่เรียกว่าการค้นหา ()
•ซับซ้อน: เชิงเส้น (ที่ส่วนใหญ่ numElems * เปรียบเทียบ numSearchElems หรือใช้โทรศัพท์ของ op () ตามลำดับ)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บริการทั้งสองรูปแบบคืนตำแหน่งขององค์ประกอบแรกของช่วง subrange ตรงกับช่วง
[ searchbeg searchend ) , ในช่วง [ ขอร้อง จบ )
- ในรูปแรกองค์ประกอบของ subrange ต้องเท่าเทียมกับองค์ประกอบของทั้งช่วง
.
- ในรูปที่สอง สำหรับทุกการเปรียบเทียบองค์ประกอบ เสียงเรียกของ OP ภาคแสดง
ไบนารี ( ใส้ searchelem ได้ผลผลิต , )

จริง .- แบบฟอร์มทั้งสองกลับจบถ้าไม่ตรงกับธาตุที่พบ .
- ทราบว่า OP ไม่ควรเปลี่ยนสถานะของมันในระหว่างการเรียกใช้ฟังก์ชัน ดูส่วน 10.1.4 หน้า 483 , สำหรับ

- รายละเอียด สหกรณ์ไม่ควรปรับเปลี่ยนผ่านอาร์กิวเมนต์ .
- ดูส่วน 6.4.1 , หน้า 203 สำหรับการอภิปรายของวิธีการหา subrange ที่คุณรู้เพียงครั้งแรก และองค์ประกอบ

สุดท้าย .- ขั้นตอนวิธีการเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ STL ต้นฉบับ ขออภัย พวกเขาถูกเรียกว่า find_end()
แทน search_end() ซึ่งจะสอดคล้องกันมากขึ้น เพราะขั้นตอนวิธีที่ใช้ในการค้นหา subrange แรกเรียกว่า search()
.
- ความซับซ้อน : เชิงเส้น ( ส่วนใหญ่ numelems * numsearchelems เปรียบเทียบหรือโทร op() ตามลำดับ )