จุดเปลี่ยนและบทเรียนชีวิต
ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๔ ปี พูดถึงประวัติการเรียนแล้ว ก็นับว่าเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด แม้ไม่ถึงกับดีมากหรือดีเลิศ (เคยสอบได้ที่ ๑ เพียงครั้งเดียว ส่วนใหญ่อยู่ใน ๑๐ อันดับแรกของชั้น) ไม่เคยมีปัญหากับครูบาอาจารย์ เพราะเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน ไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องการบ้าน แต่ก็ยอมรับว่าตั้งแต่อนุบาลเป็นต้นมาไม่เคยมีความสุขกับการเรียนเลย (ยกเว้นบางวิชาในบางปีเท่านั้น) การเรียนเป็นแค่การทำตามหน้าที่ โดยมีจุดมุ่งหมายคือเพื่อทำคะแนนให้ดีที่สุด แน่นอนว่าถ้าวิชาไหนได้คะแนนน้อย หรือเทอมใดผลสอบออกมาไม่ดี ก็รู้สึกเป็นทุกข์มาก
แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อถึงอายุดังกล่าว มีวันหนึ่งข้าพเจ้าถามตัวเองว่า เราเรียนเพื่ออะไร ? ข้าพเจ้าพบว่า คำตอบไม่น่าจะเป็น การเรียนเพื่อเอาคะแนน แต่ควรเป็นการเรียนเพื่อเอาความรู้มากกว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้จุดหมายในการเรียนของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป และช่วยให้ข้าพเจ้าก็มีความสุขกับการเรียนมากขึ้น เพราะคะแนนหรือผลสอบมีความหมายต่อข้าพเจ้าน้อยลง เพราะถึงแม้บางวิชาจะได้คะแนนไม่มาก แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าได้ความรู้มากขึ้น
คำตอบดังกล่าวไม่เพียงทำให้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นกับการอ่านหนังสือเรียน โดยไม่สนใจว่าครูจะออกข้อสอบหรือไม่แล้ว ยังทำให้เกิดความสนใจอ่านหนังสือนอกห้องเรียนมากขึ้น ที่จริงข้าพเจ้าเป็นสมาชิกขาประจำของห้องสมุดในโรงเรียนมานานแล้ว แต่คราวนี้ยังสนใจหนังสือที่เป็นวิชาการมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่สารคดีเท่านั้น
มีเหตุการณ์หนึ่งที่มาเสริมความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็คือข้าพเจ้ากับเพื่อนได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมงานวิทยาศาสตร์ที่เครือข่ายโรงเรียนคาทอลิกจัดขึ้น (ล้อกับงานวิทยาศาสตร์สัมพันธ์อันโด่งดังซึ่งจัดที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ฯ มานานหลายปี) ข้าพเจ้าเป็นเด็กเรียนที่ไม่เคยทำกิจกรรมทำนองนี้มาก่อน เมื่อมารับผิดชอบงานนี้ จึงได้พานพบประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งสิ้น แม้ปัญหาบางอย่างจะทำให้หนักใจไปหลายวัน เพราะทำเกือบเสร็จแล้วแต่ไม่ทำงานดังที่หวัง (เครื่องทำน้ำอุ่นพลังแสงอาทิตย์ แต่น้ำกลับไม่เขยื้อนขยับ) แต่หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดกับมันอย่างเอาจริงเอาจัง ก็หาทางออกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสุข ยิ่งโครงงานนี้ได้รับรางวัลที่ ๑ ด้านฟิสิกส์ก็ยิ่งเกิดความภาคภูมิใจ
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าพบว่า การทำกิจกรรมนอกห้องเรียนนั้นให้อะไรแก่ตนเองมากมายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ที่สำคัญก็คือได้รู้จักคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยได้จากการเรียนในห้องเรียน เพราะปัญหาที่เจอในการเรียนนั้นล้วนเป็นปัญหาที่หาคำตอบได้จากหนังสือ และเป็นคำตอบที่มีได้แค่หนึ่งเดียว ในขณะที่ปัญหาที่ข้าพเจ้าพบจากการทำโครงงานนั้น เป็นปัญหาปลายเปิดที่มีทางออกได้หลายทาง นอกจากนั้นกิจกรรมดังกล่าวยังช่วยฝึกทักษะให้แก่ข้าพเจ้าอีกหลายประการ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (หรือที่สมัยนี้เรียกว่า social skills ซึ่งไม่ค่อยได้จากการเรียนในห้องเรียนเท่าใดนัก)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง กิจกรรมนอกห้องเรียนได้ช่วยให้ข้าพเจ้า “เรียนรู้”อีกหลายเรื่อง นับเป็นการขยายขอบเขตหรือนิยามของ “ความรู้” ให้กว้างกว่าที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่ามีอยู่แต่ในหนังสือเท่านั้น ประสบการณ์ดังกล่าวประกอบกับการเรียนที่มีจุดหมายแปรเปลี่ยนไปดังได้กล่าวข้างต้น ช่วยให้ชีวิตในโรงเรียนของข้าพเจ้านับแต่นั้นมามีความสุขมากขึ้น ให้ประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวา ไม่น่าเบื่อดังแต่ก่อน
ผลที่ต่อเนื่องตามมาก็คือ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือหลากหลายมากขึ้น แม้ตอนนั้นตั้งใจจะเอาดีทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์ ถึงกับเริ่มอ่านตำรามหาวิทยาลัยและตำราฝรั่งแล้ว แต่พออายุ ๑๕ ก็ขยายไปอ่านหนังสือด้านสังคมศาสตร์ด้วย อันเป็นเหตุให้กลายเป็นแฟนของส.ศิวรักษ์ และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ (ซึ่งตอนนั้นอยู่ในบังเหียนของสุชาติ สวัสดิ์ศรีแล้ว) ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็เอาจริงเอาจังกับการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย ไม่ใช่แต่กิจกรรมวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานอาสาพัฒนาและสังคมสงเคราะห์ โดยจับพลัดจับผลูไปเป็นแกนของกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา ซึ่งตอนนั้นเป็นกลุ่มนักเรียนกลุ่มเดียวในประเทศที่จัดค่ายอาสาพัฒนาทุกปี การคลุกคลีตีโมงอยู่กับเพื่อนนักเรียนกลุ่มนี้ ประกอบกับการอ่านหนังสือของส.ศิวรักษ์ และนิตยสารอย่างสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ได้เปิดหูเปิดตาข้าพเจ้าเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองเวลานั้นซึ่งมีมากมายหลายประการ ทำให้เกิดความห่วงใยในบ้านเมืองและหล่อหลอมให้เกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นมาในที่สุด
จากเด็กที่เอาแต่เรียน เส้นทางชีวิตของข้าพเจ้าได้เบนไปสู่การเป็นนักกิจกรรมทั้ง ๆ ที่ยังนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใช่แค่กิจกรรมในโรงเรียน แต่ขยายไปสู่กิจกรรมนอกโรงเรียน ทำทั้งค่ายอาสาพัฒนา และร่วมชุมนุมประท้วงในเหตุการณ์เดือนตุลา ๒๕๑๖ ขณะเดียวกันกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทิ้ง ข้าพเจ้ายังคงทำโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นตัวแทนของชั้นและโรงเรียนทุกปี จนได้รับรางวัลที่ ๑ เป็นคำรบสอง แต่ระยะหลังความสนุกเริ่มลดลง เพราะความสนใจในทางสังคมศาสตร์แรงกล้าขึ้นจนไม่คิดจะเอาดีทางวิทยาศาสตร์หรือเป็นวิศวกรอีกต่อไป ในปีสุดท้ายของมัธยมศึกษา ข้าพเจ้าจึงย้ายไปเรียนห้องศิลปะและเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แทน
มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนเพื่อความรู้แล้ว แต่ได้เปลี่ยนเป็นเรียนเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม เพื่อสังคม หรือเพื่อประเทศชาติ ที่จริงไม่ใช่แค่การเรียนเท่านั้น แต่ขยายไปถึงการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว