Most cars in use today are propelle

Most cars in use today are propelled by an internal combustion engine, fueled by deflagration of gasoline (also known as petrol) or diesel. Both fuels are known to cause air pollution and are also blamed for contributing to climate change and global warming.[6] Rapidly increasing oil prices, concerns about oil dependence, tightening environmental laws and restrictions on greenhouse gas emissions are propelling work on alternative power systems for cars. Efforts to improve or replace existing technologies include the development of hybrid vehicles, plug-in electric vehicles and hydrogen vehicles. Vehicles using alternative fuels such as ethanol flexible-fuel vehicles and natural gas vehicles are also gaining popularity in some countries.

Oil consumption in the twentieth and twenty-first centuries has been abundantly pushed by car growth; the 1985–2003 oil glut even fuelled the sales of low-economy vehicles in OECD countries. The BRIC countries are adding to this consumption; in December 2009 China was briefly the largest car market.[41]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

รถยนต์ส่วนใหญ่ใช้วันนี้จะจาก ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน กลุ่ม deflagration ดีเซลหรือน้ำมันเบนซิน (เป็นน้ำมัน) เชื้อทั้งสองทราบว่าก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และยังได้ตำหนิการเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน [6] อย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นราคาน้ำมัน เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการพึ่งพาน้ำมัน ขันกฎหมายสิ่งแวดล้อม และข้อจำกัดในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะขับเคลื่อนงานระบบพลังงานทดแทนสำหรับรถยนต์ ความพยายามที่จะปรับปรุง หรือแทนเทคโนโลยีที่มีอยู่รวมถึงการพัฒนารถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอิน และรถยนต์ไฮโดรเจน ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นเช่นยานพาหนะยืดหยุ่นเชื้อเพลิงเอทานอลและก๊าซธรรมชาติรถยนต์ยังจะได้รับความนิยมในบางประเทศปริมาณการใช้น้ำมันในศตวรรษยี่สิบ และยี่สิบแรกได้รับการผลักอุดมสมบูรณ์ โดยรถเติบโต glut น้ำมัน 1985-2003 แม้เติมพลังการขายรถยนต์ต่ำเศรษฐกิจประเทศ OECD ประเทศ BRIC จะเพิ่มปริมาณการใช้วัสดุนี้ ในเดือน 2009 ธันวาคม จีนได้สั้น ๆ ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด [41]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบันมีการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในเชื้อเพลิงโดย deflagration ของน้ำมันเบนซิน (หรือเรียกว่าเบนซิน) หรือดีเซล เชื้อเพลิงทั้งสองเป็นที่รู้จักกันจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและมีการกล่าวหาว่ายังเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน. [6] เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมัน, ความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพาน้ำมันกระชับกฎหมายสิ่งแวดล้อมและข้อ จำกัด ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีการขับเคลื่อนการทำงานในระบบพลังงานทางเลือก สำหรับรถยนต์ ความพยายามที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนเทคโนโลยีที่มีอยู่รวมถึงการพัฒนาของยานพาหนะไฮบริดปลั๊กอินยานพาหนะไฟฟ้าและยานพาหนะไฮโดรเจน ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเช่นยานพาหนะเอทานอลที่มีความยืดหยุ่นเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาตินอกจากนี้ยังได้รับความนิยมในบางประเทศ. ปริมาณการใช้น้ำมันในศตวรรษที่ยี่สิบและยี่สิบเอ็ดได้รับการผลักดันอย่างล้นเหลือจากการเติบโตของรถยนต์ เหลือเฟือน้ำมันเชื้อเพลิง 1985-2003 แม้ยอดขายของยานพาหนะต่ำเศรษฐกิจในประเทศโออีซีดี ประเทศในกลุ่ม BRIC จะเพิ่มการบริโภคนี้ ในเดือนธันวาคม 2009 จีนเป็นเวลาสั้น ๆ ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด. [41]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

รถยนต์ส่วนใหญ่ใช้วันนี้จะขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์สันดาปภายใน , เชื้อเพลิงโดยการลุกไหม้อย่างรวดเร็วของเบนซิน ( ที่รู้จักกันเป็นเบนซินหรือดีเซล เชื้อเพลิงทั้งสองเป็นที่รู้จักกันเพื่อก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ และยังกล่าวหาว่าเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน [ 6 ] ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว , ความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพาน้ำมันขันด้านสิ่งแวดล้อมกฎหมายและข้อ จำกัด ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะขับเคลื่อนทำงานบนระบบพลังงานทางเลือกสำหรับรถยนต์ ความพยายามที่จะปรับปรุงหรือแทนที่เทคโนโลยีที่มีอยู่รวมถึงการพัฒนารถยนต์ไฮบริด , รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินและไฮโดรเจนยานพาหนะยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น เอทานอลที่มีความยืดหยุ่นเชื้อเพลิงยานพาหนะและยานพาหนะของก๊าซธรรมชาติที่ยังได้รับความนิยมในประเทศ

น้ำมันการบริโภคในศตวรรษที่ยี่สิบและยี่สิบครั้งแรกได้รับการผลักดันจากการเติบโตของรถ ; 1985 – 2003 น้ำมันเชื้อเพลิงเหลือเฟือแม้ยอดขายของยานพาหนะเศรษฐกิจต่ำในประเทศ OECD . ประเทศ BRIC จะเพิ่มการบริโภคนี้ในเดือนธันวาคม 2009 จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดสั้น [ 41 ]