Anaplasmosis, a tick-borne cattle d

Anaplasmosis, a tick-borne cattle disease caused by the rickettsia Anaplasma marginale, is endemic in tropical and subtropical areas of the world. The disease causes considerable economic loss to both the dairy and beef industries worldwide. Analyses of 16S rRNA, groESL, and surface proteins have resulted in the recent reclassification of the order Rickettsiales. The genus Anaplasma, of which A. marginale is the type species, now also includes A. bovis, A. platys, and A. phagocytophilum, which were previously known as Ehrlichia bovis, E. platys, and the E. phagocytophila group (which causes human granulocytic ehrlichiosis), respectively. Live and killed vaccines have been used for control of anaplasmosis, and both types of vaccines have advantages and disadvantages. These vaccines have been effective in preventing clinical anaplasmosis in cattle but have not blocked A. marginale infection. Thus, persistently infected cattle serve as a reservoir of infective blood for both mechanical transmission and infection of ticks. Advances in biochemical, immunologic, and molecular technologies during the last decade have been applied to research of A. marginale and related organisms. The recent development of a cell culture system for A. marginale provides a potential source of antigen for the development of improved killed and live vaccines, and the availability of cell culture-derived antigen would eliminate the use of cattle in vaccine production. Increased knowledge of A. marginale antigen repertoires and an improved understanding of bovine cellular and humoral immune responses to A. marginale, combined with the new technologies, should contribute to the development of more effective vaccines for control and prevention of anaplasmosis.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Anaplasmosis โรควัว tick-borne สาเหตุ rickettsia Anaplasma marginale ยุงในพื้นที่ ร้อนของโลกได้ โรคทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจมากทั้งนมและเนื้ออุตสาหกรรมทั่วโลก วิเคราะห์ของ 16S rRNA, groESL และโปรตีนที่ผิวทำให้การจัดประเภทใหม่ล่าสุดของใบสั่ง Rickettsiales สกุล Anaplasma ใด A. marginale เป็นสายพันธุ์ชนิด ตอนนี้ยังมีบริษัท A., A. platys และ A. phagocytophilum ซึ่งถูกรู้จักกันก่อนหน้านี้ Ehrlichia บริษัท E. platys และ กลุ่ม E. phagocytophila (ซึ่งทำให้มนุษย์ granulocytic ehrlichiosis), ตามลำดับ ใช้สำหรับควบคุม anaplasmosis รู้อยู่ และฆ่า และค่าวัคซีนทั้งสองชนิดมีข้อดีและข้อเสีย ค่าวัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการป้องกัน anaplasmosis คลินิกในวัวควาย แต่ไม่ได้บล็อกการติดเชื้อ A. marginale ดังนั้น วัวที่ติดเชื้อสามารถใช้เป็นอ่างเก็บน้ำเลือด infective สำหรับทั้งส่งเครื่องจักรกลและติดเครื่องหมายขีด ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีชีวเคมี immunologic และโมเลกุลระหว่างทศวรรษใชักับงานวิจัยของอ. marginale และสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาล่าสุดของระบบวัฒนธรรมเซลล์สำหรับ A. marginale ให้แหล่งที่มีศักยภาพของการตรวจหาการพัฒนาปรับปรุงสด และฆ่ารู้ และความพร้อมของเซลล์วัฒนธรรมมาตรวจหาจะกำจัดการใช้วัวควายในการผลิตวัคซีน Repertoires ตรวจหา A. marginale เพิ่มความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวัว humoral และเซลภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อ A. marginale รวมกับเทคโนโลยีใหม่ ปรับปรุงควรนำไปสู่การพัฒนาความรู้ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการควบคุมและป้องกันการ anaplasmosis

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

anaplasmosis เป็นโรควัวเห็บเกิดจากริกเกตเซี Anaplasma marginale เป็นโรคประจำถิ่นในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก โรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจมากทั้งอุตสาหกรรมนมและเนื้อทั่วโลก การวิเคราะห์ 16S rRNA, groESL และโปรตีนผิวได้ผลในการจัดประเภทรายการใหม่ล่าสุดของการ Rickettsiales การสั่งซื้อ ประเภท Anaplasma ซึ่ง marginale A. เป็นชนิดพันธุ์ที่ตอนนี้ยังรวมถึงการ bovis เอเอ Platys และ phagocytophilum เอซึ่งเป็นที่รู้จักกันก่อนหน้านี้เป็น Ehrlichia bovis อี Platys และกลุ่ม phagocytophila อี (ซึ่ง ทำให้เกิด ehrlichiosis granulocytic มนุษย์) ตามลำดับ มีชีวิตอยู่และวัคซีนฆ่าตายถูกนำมาใช้สำหรับการควบคุมของ anaplasmosis และทั้งสองประเภทของวัคซีนที่มีข้อดีและข้อเสีย วัคซีนเหล่านี้ได้รับประสิทธิภาพในการป้องกัน anaplasmosis ทางคลินิกในวัว แต่ยังไม่ได้ปิดกั้นการติดเชื้อ A. marginale ดังนั้นวัวที่ติดเชื้อเสมอทำหน้าที่เป็นอ่างเก็บน้ำของเลือดติดเชื้อสำหรับการส่งทั้งทางกลและการติดเชื้อของเห็บ ความก้าวหน้าในทางชีวเคมีภูมิคุ้มกันและเทคโนโลยีโมเลกุลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้ถูกนำมาใช้เพื่อการวิจัยของเอ marginale และสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงเซลล์สำหรับ marginale เอให้เป็นแหล่งที่มีศักยภาพของแอนติเจนสำหรับการพัฒนาวัคซีนที่ดีขึ้นและเสียชีวิตที่มีชีวิตและความพร้อมของแอนติเจนที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเซลล์จะลดการใช้วัวในการผลิตวัคซีน เพิ่มความรู้ในการ repertoires เอแอนติเจน marginale และความเข้าใจที่ดีขึ้นของการตอบสนองภูมิคุ้มกันวัวโทรศัพท์มือถือและร่างกายเพื่อ A. marginale รวมกับเทคโนโลยีใหม่ที่ควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการควบคุมและป้องกันการ anaplasmosis

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เกิดโรคอนาพลาสโมซิส , เห็บโคที่เกิดจากริกเกตเซีย anaplasma marginale มีการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก โรคนี้ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากทั้งนมและเนื้อ อุตสาหกรรมทั่วโลก การวิเคราะห์ 16S rRNA groesl , และโปรตีนผิวมีผลใน reclassification ล่าสุดของคำสั่ง rickettsiales . anaplasma สกุล ,ของที่ A marginale เป็นชนิดสายพันธุ์ ตอนนี้ยังรวมถึง . bovis platys A และ A phagocytophilum ที่รู้จักกันก่อนหน้านี้เป็น ehrlichia bovis e . platys และ E . phagocytophila กลุ่ม ( ซึ่งทำให้มนุษย์ granulocytic โรคเ ร์ลิคิโอซิส ) ตามลำดับ มีชีวิตอยู่และฆ่าวัคซีนได้ถูกใช้สำหรับการควบคุมของอนาพลาสโมซิส และวัคซีนทั้งสองชนิดมีข้อดีและข้อเสียวัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันทางคลินิกอนาพลาสโมซิสในโคแต่ไม่มีบล็อก . การติดเชื้อ marginale . ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้อวัวเป็นอ่างเก็บน้ำของเลือดการติดเชื้อทั้งส่งเครื่องจักรกล และการติดเชื้อของเห็บ ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางภูมิคุ้มกันวิทยาทางชีวเคมีและโมเลกุลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้รับการประยุกต์เพื่อการวิจัยของmarginale และที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ล่าสุดการพัฒนาระบบการเพาะเซลล์ . marginale ให้เป็นแหล่งที่มีศักยภาพของแอนติเจนสำหรับการพัฒนา ปรับปรุง และวัคซีนเชื้อตาย และความพร้อมของการเพาะเลี้ยงเซลล์และกำจัดแอนติเจนจะใช้วัวในการผลิตวัคซีน ความรู้ที่เพิ่มขึ้นของrepertoires แอนติเจน marginale และการปรับปรุงความเข้าใจของวัวและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อเซลล์ humoral . marginale รวมกับเทคโนโลยีใหม่ ควรสนับสนุนการพัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนเพื่อการควบคุมและป้องกันของอนาพลาสโมซิส .