ประวัติวัดวัง ลำปำ พัทลุง ชื่อ วัดวัง
สถานที่ตั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลลำปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
ประวัติความเป็นมา
คำว่า "วัดวัง" มีที่มา 2 นัย นัยหนึ่งว่าทางทิศใต้ของวัด มีวังน้ำลึกมากเรียกว่า "หัววัง" จึงเรียกวัดวัง อีกนัยหนึ่งว่า เพราะตั้งอยู่ใกล้กับวังหรือจวนเจ้าเมือง จึงเรียกวัดวัง
วัดวัง เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ไม่ทราบศักราชที่แน่ชัด เนื่องจากหลักฐานยังขัดแย้งกันอยู่ เช่น
พงศาวดารเมืองพัทลุงระบุว่า พระยาพัทลุง(ทองขาว) เป็นผู้สร้างวัดวัง แต่ไม่ปรากฏปีศักราช ได้ทำการแล้วเสร็จ มีการฉลอง เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 พ.ศ. 2359 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หนังสือพงศาวดาร และลำดับวงศ์สกุลเมืองพัทลุง เรียบเรียงโดยพระยาโสภณพัทลุงกุล (สว่าง ณ พัทลุง) ระบุว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดวังขึ้น มีอุโบสถ พัทธสีมา และวิหารพร้อม ใช้เป็นวัดสำหรับรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสำหรับเมือง
หนังสือประวัติวัดวังของหลวงคเชนทรามาตย์ ระบุไว้ว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) บุตรพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก )เป็นหัวหน้าชักนำญาติพี่น้องและชาวบ้านปฏิสังขรณ์วัดวังขึ้น
คุณยายประไพ มุตตามระ (จันทโรจวงศ์) บุตรีหลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์ ผู้เขียนพงศาวดารเมืองพัทลุง) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า วัดวังคงจะเริ่มสร้างมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แต่เพราะบ้านเมืองในสมัยนั้นมีศึกษาสงครามกับหัวเมืองมลายู และพม่าอยู่เสมอ จึงทำให้การสร้างวัดมาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 2 ปี พ.ศ. 2359
ทำเนียบวัดจังหวัดพัทลุงของพระครูอริยสังวร (เอียด) อดีตเจ้าคณะจังหวัดพัทลุงได้ระบุว่า วัดวังสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2331 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จากหลักฐานที่กล่าวมาพอจะสันนิษฐานได้ว่า วัดวังสร้างมาก่อน พ.ศ. 2359 และอาจจะสร้างมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ก็ได้ จุดประสงค์ของการสร้างวัดนี้อาจเป็นได้ว่าเพื่อใช้เป็นวัดประจำเมือง หรือประจำตระกูล เพราะสมัยนั้นได้ย้ายเมืองพัทลุงมาตั้งที่โคกลุง บริเวณนี้ยังไม่มีวัดที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อสร้างวัดวังขึ้นแล้วก็พิจารณาเห็นว่า วัดควนมะพร้าว ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีนั้นอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากเกินไป จึงได้พิจารณายกวัดวังขึ้นเป็นวัดถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ดังปรากฏในพงศาวดารเมืองพัทลุงว่า พระยาพัทลุง (ทับ) ได้ปฏิสังขรณ์วัดวังซึ่งเป็นวัดของพระยาพัทลุง(ทองขาว) ขึ้นเป็นวัดถือน้ำไว้กลางเมืองพัทลุง ให้มีการฉลองเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก โทศก พ.ศ. 2403
ต่อมาวัดวังได้รับการบูรณะเรื่อยมา จนกระทั่งทางราชการได้ยกเลิกพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาและได้มีการย้ายเมืองพัทลุงจากตำบลลำปำไปตั้งที่ตำบลคูหาสวรรค์ คือที่ตั้งเมืองพัทลุงปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2469 วัดวังก็เริ่มทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ จนราว พ.ศ. 2512 ทางราชการจึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมวัดวังใหัมั่นคงถาวรจนกระทั่งทุกวันนี้
ความสำคัญต่อชุมชน
วัดวัง เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญคู่กับเมืองพัทลุงมาตลอดสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองพัทลุงมาแล้วในอดีต จนกระทั่งทาง ราชการได้ได้ยกเลิกพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และได้มีการย้ายเมืองพัทลุงจากตำบลลำปำไปตั้งที่ตำบลคูหาสวรรค์ คือที่ตั้งเมืองปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2469
ในปัจจุบันวัดวังยังคงเป็นวัดสำคัญที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาในวาระต่าง ๆ เป็นแหล่งรวมของศิลปกรรมที่งดงาม ที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2528 และประกาศเขตโบราณสถานอีกด้วย
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปแขนงต่าง ๆ
วัดวัง มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวประมาณ 3 เส้น 12 วา คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 13 ไร่ 46 ตารางวา มีรูปแบบของศิลปกรรมที่ปรากฏ ดังนี้
1. อุโบสถ ตั้งอยู่ตรงกลางวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอาคารก่อด้วยอิฐถือปูน ขนาดกว้าง 6.60 เมตร ยาว 14 เมตร หลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผา มีช่อฟ้าใบระกา ด้านหน้ามีมุขเก็จยื่นออกมา ภายในพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งห้อยพระบาทแสดงปางป่าเลไลย์ มีช้างและลิงปูนปั้นถวายรังผึ้ง ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2506 และครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ. 2525 อุโบสถมีระเบียงคด หรือวิหารคดล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีซุ้มประตู 4 ทิศ ซุ้มประตูทางทิศตะวันออก สร้างเป็นซุ้มยอด ศิลปะสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในวิหารคดมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางต่าง ๆ จำนวน 108 องค์ หน้าบันอุโบสถจำหลักไม้ ด้านหน้ารูปพระพายทรงม้า 3 เศียร มีลวดลายกระหนกก้านแย่งรูปยักษ์ และเทพธิดา กินรี ประกอบลงรักปิดทอง ด้านหลังเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร ลงรักปิดทองเหมือนด้านหน้า หน้าบันทั้ง 2 ได้จำลองจากของเดิม เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยนายช่างเทียม เป็นชาวกรุงเทพ ฯ จำหลักได้สวยงามไม่แพ้ของเดิม ส่วนของเดิมได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสงขลา อุโบสถมีประตูทางเข้า 2 ประตู บานประตูทั้ง 4 บาน เดิมมีภาพลายรดน้ำรูปทวารบาลสวยงาม แต่มาเปลี่ยนเป็นลายดอกไม้เมื่อ พ.ศ. 2512 เหนือขอบประตูและหน้าต่างมีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้พรรณพฤกษา มีสัตว์ เช่น กระรอกเป็นส่วนประกอบแบบเดียวกับที่วัดสุนทราวาส และวัดยาง แต่บางช่อมีรูปหน้ากาลปูนปั้นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายในอุโบสถมีพระประธานปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย จำนวน 5 องค์ องค์กลางมีขนาดใหญ่ที่สุด หน้าตักกว้างประมาณ 2 เมตร สองข้างมีพระพุทธสาวก คือ พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลาน ประทับยืนประนมมือ ด้านหน้าพระประธานมีพระพุทธรูปหล่อสำริด 1 องค์ แบบทรงเครื่องใหญ่ ปางห้ามสมุทร และพระพุทธรูปไม้บุเงินปางอุ้มบาตร 1 องค์ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เข้าใจว่า เป็นพระพุทธรูปที่นำมาจากกรุงเทพ ฯ สำหรับพระพุทธรูปไม้บุเงินได้ถูกคนร้ายขโมยไป ที่ริมผนังอุโบสถด้านหน้าตอนใน มีรูปยายแก่ปูนปั้นเรียกกันว่า "ยายไอ่" หรือ "ยายทองคำ" เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก เดิมมีตะบันทองคำอยู่ 1 อัน และมีลายแทงอยู่ด้วย