The antibacterial activity of the t

The antibacterial activity of the textile fabrics coated with
different silver ratios is seen in Tables 3 and 4 against E. coli and
S. aureus, respectively. Tables 3 and 4 show both the change in
antibacterial activity by increasing silver precursor ratio in the first row, and the effect of coating with silver nanoparticles on
antibacterial activity as well as the laundry performance of antibacterial
activity for 30:1 ratio in the second row, against E. coli
and S. aureus, respectively. The clear zones in the areas surrounding
the surface of textile fabrics were observed, while there is no
antibacterial activity around the bare fabrics, Tables 3 and 4. It is
clear that the antibacterial activity is higher against E. coli than S.
aureus for all ratios since there is a wider inhibition zone around
the fabric. To test the permanency of antibacterial activity, the fabric
was washed in an ordinary washing machine using ordinary
detergent. It was observed to decrease the antibacterial activity
against E. coli after the third washing for 10:1 and 20:1 ratios,
whereas the fabric samples with 30:1 ratio still had antibacterial
activity up to five washings. However, significant antibacterial
activity was observed on the surface of fabric against S. aureus
for all ratios even after 20 washings, Table 4. To be able to compare
washing effects, the photos for only 30:1 ratios before and after
washing are given in Tables 3 and 4. During the antibacterial studies,
it was observed that the antibacterial activity was closely
related to wetness of the coated fabrics because of their hydrophobic
surface. Very low and/or no activity was observed when dry
fabrics were tested, which suggests that the mechanism of antibacterial
activity should be based on silver ion release. Thus, silver ion
release from the wet fabrics is higher than from dry fabrics. The
reason for the different antibacterial activity of the textile surfaces
that are produced, against E. coli and S. aureus is another issue to be
investigated.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กิจกรรมการต้านเชื้อแบคทีเรียของผ้าสิ่งทอเคลือบด้วยอัตราส่วนเงินที่แตกต่างกันจะเห็นได้ในตารางที่ 3 และ 4 กับ E. coli และS ได้หมอเทศข้างลาย ตามลำดับ ตารางที่ 3 และ 4 แสดงการเปลี่ยนแปลงทั้งในอัตราส่วนสารตั้งต้นสารต้านเชื้อแบคทีเรียกิจกรรม โดยการเพิ่มเงินในแถวแรก และผลของการเคลือบด้วยเงินเก็บกักบนกิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานของยาปฏิชีวนะการซักรีดกิจกรรมสำหรับอัตราส่วนบทในแถวที่สอง กับ E. coliและ S. หมอเทศข้างลาย ตามลำดับ โซนชัดเจนในพื้นที่โดยรอบพื้นผิวของผ้าสิ่งทอสุภัค ในขณะที่มีไม่กิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรียรอบผ้าเปลือย ตาราง 3 และ 4 มันเป็นชัดเจนว่ากิจกรรมการต้านเชื้อแบคทีเรียเหมือนกับ E. coli s ได้หมอเทศข้างลายสำหรับอัตราส่วนทั้งหมดเนื่องจากมีโซนยับยั้งความกว้างรอบผ้า การทดสอบความคงทนของกิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรีย ผ้าถูกล้างในเครื่องซักผ้าธรรมดาใช้ทั่วไปผงซักฟอก จะถูกตรวจสอบเพื่อลดกิจกรรมการต้านเชื้อแบคทีเรียจาก E. coli หลังซักสามในอัตราส่วน 10:1 และ 20:1ในขณะที่ผ้าตัวอย่างด้วย อัตราส่วนบทยังมียาปฏิชีวนะกิจกรรมถึง washings ห้า อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะอย่างมีนัยสำคัญกิจกรรมที่พบบนพื้นผิวของผ้ากับ S. หมอเทศข้างลายสำหรับอัตราส่วนทั้งหมดแม้แต่หลังจาก 20 washings ตาราง 4 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบล้างผล ภาพถ่ายสำหรับอัตราส่วนบทเฉพาะก่อน และหลังซักผ้าได้ในตารางที่ 3 และ 4 ในระหว่างการศึกษายาฆ่าเชื้อโรคจะถูกตรวจสอบว่า กิจกรรมการต้านเชื้อแบคทีเรียได้อย่างใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับ wetness ผ้าเคลือบเนื่องจากของ hydrophobicพื้นผิว ต่ำมาก หรือไม่มีกิจกรรมที่สังเกตเมื่อแห้งผ้าทดสอบ ซึ่งแสดงให้เห็นที่กลไกของยาปฏิชีวนะกิจกรรมควรยึดตามปล่อยซิลเวอร์ไอออน ดังนั้น ซิลเวอร์ไอออนออกจากผ้าเปียกมากกว่าจากผ้าแห้งได้ ที่เหตุผลสำหรับกิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรียแตกต่างกันของพื้นผิวสิ่งทอที่มี ผลิต กับ E. coli และ S. หมอเทศข้างลายเป็นเรื่องอื่นให้ตรวจสอบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของผ้าทอที่เคลือบด้วย
อัตราส่วนเงินที่แตกต่างกันมีให้เห็นในตารางที่ 3 และ 4 กับเชื้อ E. coli และ
S. aureus ตามลำดับ ตารางที่ 3 และ 4 แสดงทั้งการเปลี่ยนแปลงใน
ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียโดยการเพิ่มสัดส่วนเงินสารตั้งต้นในแถวแรกและผลของการเคลือบด้วยอนุภาคเงินใน
ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียเช่นเดียวกับผลการปฏิบัติงานซักผ้าของต้านเชื้อแบคทีเรีย
กิจกรรม 30: 1 อัตราส่วนในแถวที่สอง กับเชื้อ E. coli
และ S. aureus ตามลำดับ โซนที่ชัดเจนในพื้นที่โดยรอบ
พื้นผิวของผ้าทอถูกตั้งข้อสังเกตในขณะที่ไม่มี
ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียรอบผ้าเปลือยตารางที่ 3 และ 4 มันเป็น
ที่ชัดเจนว่าฤทธิ์ต้านแบคทีเรียจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับเชื้อ E. coli กว่า S.
aureus สำหรับทุก อัตราส่วนเนื่องจากมีบริเวณยับยั้งกว้างรอบ
ผ้า เพื่อทดสอบความคงทนของฤทธิ์ต้านแบคทีเรียผ้า
ถูกล้างในเครื่องซักผ้าธรรมดาสามัญโดยใช้
ผงซักฟอก มันถูกตั้งข้อสังเกตเพื่อลดฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
กับเชื้อ E. coli หลังจากซักผ้าที่สามสำหรับ 10: 1 และ 20: 1 อัตราส่วน
ในขณะที่ตัวอย่างผ้ากับ 30: 1 อัตราการต้านเชื้อแบคทีเรียยังคงมี
กิจกรรมถึงห้าซัก อย่างไรก็ตามต้านเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญ
กิจกรรมก็สังเกตเห็นบนพื้นผิวของผ้ากับเชื้อ S. aureus
สำหรับอัตราส่วนแม้หลังจาก 20 washings, ตารางที่ 4 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบ
ผลกระทบซักผ้า, ภาพถ่ายเพียง 30: 1 อัตราส่วนก่อนและหลังการ
ซักผ้าจะได้รับใน ตารางที่ 3 และ 4 ในระหว่างการศึกษาต้านเชื้อแบคทีเรียที่
มันถูกตั้งข้อสังเกตว่าฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้รับอย่างใกล้ชิด
ที่เกี่ยวข้องกับความชื้นแฉะของผ้าเคลือบเพราะไม่ชอบน้ำของพวกเขา
พื้นผิว ต่ำมากและ / หรือกิจกรรมที่ไม่ได้รับการตั้งข้อสังเกตเมื่อแห้ง
ผ้าได้รับการทดสอบซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลไกของการต้านเชื้อแบคทีเรีย
กิจกรรมควรอยู่บนพื้นฐานการปล่อยไอออนเงิน ดังนั้นเงินไอออน
ที่ปล่อยจากผ้าเปียกที่สูงกว่าจากผ้าแห้ง
เหตุผลสำหรับฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่แตกต่างกันของพื้นผิวสิ่งทอ
ที่มีการผลิตกับเชื้อ E. coli และ S. aureus เป็นปัญหาที่จะต้องอีก
สอบสวน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของสิ่งทอผ้าเคลือบด้วย
อัตราส่วนเงินต่างเห็นเป็นตารางที่ 3 และ 4 กับ E . coli และ
S . aureus , ตามลำดับ ตารางที่ 3 และ 4 แสดงทั้งการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรม โดยเพิ่มเงินตั้งต้น
แบคทีเรีย ) ในแถวแรก และผลของการเคลือบผิวด้วยอนุภาคเงินบน
การจัดกิจกรรม ตลอดจนบริการซักรีดประสิทธิภาพของฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
ที่ 30 : 1 อัตราส่วนในแถวที่สอง กับ E . coli
และ S . aureus , ตามลำดับ โซนที่ชัดเจนในพื้นที่โดยรอบ
พื้นผิวของผ้าสิ่งทอที่พบ , ในขณะที่ไม่มี
antibacterial กิจกรรมรอบผ้าเปลือย ตารางที่ 3 และ 4 มันคือ
ชัดเจนว่าฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่สูงกับ E .( กว่า ) S .
สำหรับทุกอัตราส่วนมีกว้างบริเวณยับยั้งรอบ
ผ้า ทดสอบความคงทนของฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ผ้า
ซักในเครื่องซักผ้าธรรมดา ใช้ผงซักฟอกธรรมดา

พบเพื่อลดกิจกรรม antibacterial
กับเชื้ออีโคไลหลังซัก สาม 10 : 1 และ 20 : 1 อัตราส่วน
ส่วนผ้าตัวอย่าง 30 :1 อัตราส่วนยังคงมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
ถึงห้า washings . อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
) ถูกพบบนพื้นผิวของผ้าต่อ S . aureus
สำหรับทุกอัตราส่วน แม้ว่า 20 washings โต๊ะ 4 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบ
ล้างผลภาพถ่ายเพียง 30 : 1 อัตราส่วนก่อนและหลัง
ล้างยกให้เป็นตารางที่ 3 และ 4 ในระหว่างการศึกษาแบคทีเรีย ,
พบว่าฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเป็นอย่างใกล้ชิด
เกี่ยวข้องกับความชื้นแฉะของผ้าเคลือบ เพราะพื้นผิว )
. ต่ำมาก และ / หรือกิจกรรมที่ไม่พบ เมื่อผ้าแห้ง
ทดสอบซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลไกการออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
ควรจะขึ้นอยู่กับรุ่นซิลเวอร์ไอออน ดังนั้น การปล่อยไอออน
เงินจากผ้าเปียกสูงกว่าจากผ้าแห้ง
เหตุผลสำหรับฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่แตกต่างกันของสิ่งทอพื้นผิว
ที่ผลิตจากเชื้ออีโคไลและ S . aureus เป็นอีกประเด็นที่จะ
สอบสวน