We have to identify information for

We have to identify information for the purposes of differentiating between types
of information & formats of information.
2.1 Types of Information
The type of information you need depends on the assignment you’ve been given. When
determining your information requirement, look at the assignment carefully and consider the
following questions: (Information competency tutorials: Determine your information needs, n. d.)
2.1.1 What type of assignment is it?
The assignment can vary from a short 5 minute oral presentation to a senior
report, with many other possibilities in between such as critiques, summaries, short
essays or term papers.
2.1.2 How much information do you need?
Some assignments require only brief summaries or overviews, while other
assignments require more detailed and comprehensive information.
2.1.3 Is currency an issue?
Some assignments require the most current information, while others require
historical information.
2.1.4 Do you need to use primary sources, secondary sources, or tertiary sources?
Information can come from many sources. There are primary, secondary and
tertiary sources of information.
Primary sources are original information. This is information before it has been
analyzed, interpreted, filtered, condensed, or evaluated by anyone else. Examples are a
professor’s lecture, research reports, newspaper articles written by people at the scene
of an event, the first publication of a scientific study, speeches, e-mails, original
artworks, handwritten manuscripts, photos, diaries, personal letters, historical
documents, autobiography, interviews, diplomatic records, etc. However, what
constitutes a primary source varies by discipline. A scholar in the humanities may use a
newspaper photograph or a poem as a primary source while a scientist might use data
from an experiment or an artifact from an archaeological dig.
Secondary sources comment upon, interpret, analyze, or summarize primary
sources. Examples are your classmate’s notes on a professor’s lecture, scholarly books,
journal and magazine articles, a newspaper article reporting on a scientific study
published elsewhere, an article critiquing a new CD, an encyclopedia article on a topic, a biography of a famous person, reviews, textbooks, criticism, interpretations, and so
forth. Also, secondary sources lead you to primary sources. Examples are an index to
newspaper articles or an index to articles from scientific research journals, a
bibliography of an author’s works.
Tertiary sources are a collection of primary and secondary sources. They
compile indexes or organize sources. Sources which analyzed, compiled and digest
secondary sources included mostly in abstracts, a bibliography of critical works on an
author, an index to general periodical articles, a library catalog. (Information literacy:
Module 1 identifying information, 2011)

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เราจะต้องระบุข้อมูลสำหรับวัตถุประสงค์ของความแตกต่างระหว่างชนิดข้อมูลและรูปแบบของข้อมูล2.1 ชนิดของข้อมูลชนิดของข้อมูลที่คุณต้องการขึ้นอยู่กับการกำหนดที่คุณได้รับ เมื่อกำหนดความต้องการของข้อมูล ดูการกำหนดอย่างระมัดระวัง และพิจารณาการคำถามต่อไปนี้: (ข้อมูลความสามารถสอน: กำหนดข้อมูลความต้องการของ d ตอนเหนือ.)2.1.1 ชนิดกำหนดคือกำหนดอาจแตกต่างกันจากการนำเสนอปากเปล่าเพียง 5 นาทีกับรุ่นรายงาน ด้วยอื่น ๆ ในระหว่างข้อดีข้อเสีย สรุป สั้นบทความหรือเอกสารระยะ2.1.2 คุณต้องการข้อมูลจำนวนกำหนดบางต้องการสรุปเพียงสั้น ๆ หรือภาพรวม ในขณะที่อื่น ๆกำหนดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียด และครอบคลุม2.1.3 เป็นสกุลเงินที่เป็นปัญหาหรือไม่กำหนดบางต้องการข้อมูลล่าสุด ในขณะที่อื่น ๆข้อมูลประวัติศาสตร์2.1.4 คุณต้องใช้หลักแหล่ง แหล่งรอง หรือแหล่งข้อมูลระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่ข้อมูลอาจมาจากหลายแหล่ง มีหลัก รอง และแหล่งข้อมูลระดับมหาวิทยาลัยหลักแหล่งข้อมูลต้นฉบับได้ นี้คือข้อมูลก่อนที่จะได้รับวิเคราะห์ แปล กรอง บีบ หรือค่า โดยใคร ตัวอย่างเช่นการบรรยายของศาสตราจารย์ วิจัย รายงานบทความหนังสือพิมพ์ที่เขียน โดยคนในเหตุการณ์ พิมพ์ครั้งแรกของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ สุนทรพจน์ อีเมล์ ต้นฉบับartworks, handwritten manuscripts, photos, diaries, personal letters, historicaldocuments, autobiography, interviews, diplomatic records, etc. However, whatconstitutes a primary source varies by discipline. A scholar in the humanities may use anewspaper photograph or a poem as a primary source while a scientist might use datafrom an experiment or an artifact from an archaeological dig.Secondary sources comment upon, interpret, analyze, or summarize primarysources. Examples are your classmate’s notes on a professor’s lecture, scholarly books,journal and magazine articles, a newspaper article reporting on a scientific studypublished elsewhere, an article critiquing a new CD, an encyclopedia article on a topic, a biography of a famous person, reviews, textbooks, criticism, interpretations, and soforth. Also, secondary sources lead you to primary sources. Examples are an index tonewspaper articles or an index to articles from scientific research journals, abibliography of an author’s works.Tertiary sources are a collection of primary and secondary sources. Theycompile indexes or organize sources. Sources which analyzed, compiled and digestsecondary sources included mostly in abstracts, a bibliography of critical works on anauthor, an index to general periodical articles, a library catalog. (Information literacy:Module 1 identifying information, 2011)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เรามีการระบุข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ในการแตกต่างระหว่างประเภทของข้อมูลและรูปแบบของข้อมูลที่.
2.1
ประเภทของข้อมูลชนิดของข้อมูลที่คุณต้องการขึ้นอยู่กับการกำหนดที่คุณได้รับ เมื่อกำหนดความต้องการข้อมูลของคุณให้ดูที่ได้รับมอบหมายอย่างระมัดระวังและพิจารณาคำถามต่อไปนี้(ข้อมูลบทเรียนความสามารถ: ตรวจสอบข้อมูลของคุณต้องการ ND) 2.1.1 ประเภทของงานมันคืออะไร? ได้รับมอบหมายจะแตกต่างจากระยะสั้น 5 นาทีการนำเสนอปากเปล่า การอาวุโสรายงานความเป็นไปได้อื่นๆ อีกมากมายในระหว่างเช่นวิพากษ์วิจารณ์สรุปสั้นบทความหรือเอกสารคำ. 2.1.2 วิธีข้อมูลมากคุณต้อง? การมอบหมายงานบางอย่างต้องสรุปสั้น ๆ เพียงอย่างเดียวหรือภาพรวมในขณะที่คนอื่น ๆที่ได้รับมอบหมายต้องมีรายละเอียดและครอบคลุมมากขึ้น ข้อมูล. 2.1.3 เป็นสกุลเงินเป็นปัญหา? ได้รับมอบหมายบางอย่างต้องใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุดในขณะที่คนอื่นต้องการข้อมูลทางประวัติศาสตร์. 2.1.4 คุณจำเป็นต้องใช้แหล่งที่มาหลักแหล่งทุติยภูมิตติยภูมิหรือแหล่ง? ข้อมูลได้มาจากหลายแหล่ง มีหลักรองและแหล่งที่มาของข้อมูลในระดับอุดมศึกษา. แหล่งที่มาหลักคือข้อมูลเดิม วันนี้มีข้อมูลก่อนที่จะได้รับการวิเคราะห์ตีความกรองข้นหรือการประเมินโดยคนอื่น ตัวอย่างมีการบรรยายของศาสตราจารย์รายงานการวิจัยบทความในหนังสือพิมพ์เขียนโดยคนในที่เกิดเหตุของเหตุการณ์ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์, การกล่าวสุนทรพจน์, อีเมลเดิมงานศิลปะต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือ, ภาพถ่าย, สมุดบันทึก, จดหมายส่วนตัวประวัติศาสตร์เอกสารอัตชีวประวัติสัมภาษณ์บันทึกทางการทูต ฯลฯ แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นแหล่งที่มาหลักแตกต่างกันไปโดยมีระเบียบวินัย นักวิชาการในมนุษยศาสตร์อาจใช้การถ่ายภาพหนังสือพิมพ์หรือบทกวีเป็นแหล่งหลักในขณะที่นักวิทยาศาสตร์อาจใช้ข้อมูลจากการทดลองหรือสิ่งประดิษฐ์จากการขุดค้นทางโบราณคดี. แหล่งที่มารองแสดงความคิดเห็นเมื่อตีความวิเคราะห์สรุปหลักหรือแหล่งที่มา ตัวอย่างเช่นบันทึกเพื่อนร่วมชั้นของคุณในการบรรยายของอาจารย์เป็นหนังสือวิชาการ, วารสารและบทความนิตยสารรายงานบทความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์อื่น ๆ บทความวิจารณ์ซีดีใหม่บทความสารานุกรมที่หัวข้อชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียง ความคิดเห็นตำราวิจารณ์การตีความและอื่น ๆ นอกจากนี้แหล่งข้อมูลทุติยภูมินำคุณไปสู่แหล่งที่มาหลัก ตัวอย่างเช่นดัชนีบทความในหนังสือพิมพ์หรือดัชนีบทความจากวารสารการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นสังเขปผลงานของผู้เขียน. แหล่งที่มาของการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีการคอลเลกชันของแหล่งที่มาหลักและรอง พวกเขารวบรวมดัชนีหรือการจัดระเบียบแหล่งที่มา แหล่งที่มาซึ่งวิเคราะห์รวบรวมและย่อยแหล่งข้อมูลทุติยภูมิรวมส่วนใหญ่อยู่ในบทคัดย่อบรรณานุกรมของงานที่สำคัญในเขียนดัชนีบทความวารสารทั่วไปแคตตาล็อกห้องสมุด (ความรู้ข้อมูล: โมดูล 1 ข้อมูลที่ระบุ 2011)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เราต้องระบุข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ของความแตกต่างระหว่างประเภทของข้อมูลในรูปแบบของข้อมูล&
.
๑
ชนิดของข้อมูลชนิดของข้อมูลที่คุณต้องการขึ้นอยู่กับงานที่คุณจะได้รับ เมื่อกำหนดความต้องการ
ข้อมูล มองงานอย่างรอบคอบและพิจารณาคำถามต่อไปนี้ : (
สอนสมรรถนะสารสนเทศตรวจสอบข้อมูลความต้องการของคุณ N . d )
1.1 สิ่งที่ประเภทของงานล่ะ
งานจะแตกต่างจากสั้น 5 นาทีช่องปากเพื่อนำเสนอรายงานอาวุโส
กับหลายอื่น ๆเช่น ความเป็นไปได้ ใน ระหว่าง การวิจารณ์การสรุป เรียงความสั้น ๆหรือภาคนิพนธ์
.
2.1.2 เท่าใดข้อมูลที่คุณต้องการ
งานต้องการเพียงสรุปสั้น หรือภาพรวม
, ในขณะที่อื่น ๆงานที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อมูลที่ครอบคลุม .
ทางเป็นสกุลเงินมีปัญหาหรือไม่
งานต้องการข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน ในขณะที่คนอื่นต้อง

2.1.4 ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ คุณต้องใช้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ หรือตติยภูมิระดับแหล่งที่มา ?
ข้อมูลสามารถมาได้จากหลาย ๆ แหล่ง มี ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ของแหล่งข้อมูล

.แหล่งข้อมูลปฐมภูมิคือข้อมูลเดิม นี่เป็นข้อมูลก่อนที่มันจะถูก
วิเคราะห์ ตีความ กรองย่อ หรือประเมินโดยคนอื่น ตัวอย่างเป็น
อาจารย์บรรยาย วิจัย รายงาน หนังสือพิมพ์ บทความที่เขียนโดยคนที่เกิดเหตุ
ของเหตุการณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ , สุนทรพจน์ , อีเมลเดิม
งานศิลปะ , ลายมือต้นฉบับ , ภาพ , บันทึกส่วนตัวอักษร ประวัติศาสตร์
เอกสารประวัติ สัมภาษณ์ บันทึกทางการทูต ฯลฯ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่
ถือเป็นแหล่งที่มาหลักแตกต่างกัน โดยวินัย บัณฑิตในสาขามนุษยศาสตร์อาจใช้
หนังสือพิมพ์ภาพถ่าย หรือบทกวีเป็นหลักแหล่ง ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์อาจใช้ข้อมูลจากการทดลองสิ่งประดิษฐ์

จากการขุดค้นทางโบราณคดี แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ แสดงความคิดเห็นเมื่อ ตีความ วิเคราะห์หรือสรุปแหล่งที่มาหลัก

ตัวอย่างของเพื่อนร่วมชั้นของบันทึกการบรรยายของศาสตราจารย์หนังสือวิชาการ
วารสาร , นิตยสารและบทความ หนังสือพิมพ์ บทความ รายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
เผยแพร่ที่อื่น บทความ critiquing ซีดีใหม่ บทความสารานุกรมในหัวข้อ ชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียง บทวิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ ตีความ และดังนั้น
" นอกจากนี้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ นำคุณไปยังแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ตัวอย่างดัชนี

บทความหนังสือพิมพ์หรือดัชนีบทความจากวารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ,
บรรณานุกรมของผู้เขียนทำงาน .
แหล่งตติยภูมิมีคอลเลกชันของแหล่งปฐมภูมิและแหล่งทุติยภูมิ พวกเขา
รวบรวมดัชนีหรือจัดระเบียบแหล่ง แหล่งรวบรวม วิเคราะห์ และแยกแยะ
แหล่งทุติยภูมิรวมส่วนใหญ่ในบทคัดย่อบรรณานุกรมของงานวิจารณ์บน
ผู้เขียน , ดัชนีบทความวารสารทั่วไป ห้องสมุดแคตตาล็อก ( การรู้สารสนเทศ :
โมดูล 1 ระบุข้อมูล 2011 )