Self-DisclosurePrior research has c

Self-Disclosure
Prior research has considered a range of motivations for self-disclosure in social
network services. According to the works of Goffman ( 1959 ), Donath and boyd
( 2004 ) and boyd and Heer ( 2006 ), users employ a social network service as a performance
of identity. Strategically presenting themselves, through the constructed
profi les, users’ challenge is to increase their diverse networks of social ties.
Similarly, Lampe et al. ( 2006 ) note that motivations for use and disclosure within a
social network service are a function of offline outcomes such as relational formation
and deepening. Works by Bumgarner ( 2007 ) and Joinson ( 2008 ) illustrate the
social motive of social network service use and consequent personal data disclosure:
the participants’ desire to connect and learn about one another. Without signifi cant personal sharing in these sites, these motives of use would not be
addressed. For this reason, recent research points out that SNSs seem to require selfdisclosure
by default (Joinsonet al. 2011 ; Nguyen etal. 2012 ).
The earliest studies on concrete social network services, provided empirical evidence
of the remarkable disclosure practices within the sites. Work by Acquisti and
Gross ( 2006 ) found that students in the Carnegie Mellon University Facebook network
extensively shared sensitive information such as political views and sexual
orientation in Facebook, and that information shared in Facebook was generally
self-reported as valid. Other studies conducted at the time in different university
networks, including Stutzman ( 2006 ) and Lampeet al. ( 2006 ), further evidenced the
high degree of personal disclosure within social network services. Large scale studies
such as Thelwall ( 2008 ) and James and Webb ( 2008 ) provided evidence of similar
disclosure phenomena in Myspace, once the leading social network service.
These findings were corroborated by a national probability study conducted by
Lenhart and Madden ( 2007 ).
Despite this, it seems nowadays that users are becoming more and more aware of
(at least some) privacy risks connected to social networking. In their study concerning
the relationship between perceived privacy and comfort with self- disclosure,
Frye and Dornisch ( 2010 ) analyzed the behavior of 214 US participants. They
reported that participants tended to feel more comfortable disclosing information
when they perceived the communication tools as offering a higher level of privacy.
Concerning Facebook, its transition to a global social network service and the
changes to the interface and to site policies have altered the level of trust individuals
have in Facebook itself, which was often described as the more trusted social network
service (in particular when compared with Myspace (Dwyeret al. 2007 ). To
combat the increases in privacy and decreased disclosure to a wide audience in the
platform, Facebook has consistently changed the nature of sharing certain items in
the platform, and the default sharing settings for new accounts.
The increased awareness of users concerning privacy issues, and the consequent
better use of privacy settings provided by online social network services, may help
in addressing self-disclosure issues and take part in the management of context
collapse.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เปิดเผยตนเองงานวิจัยก่อนหน้านี้ได้พิจารณาช่วงของโต่งเปิดเผยตนเองในสังคมบริการเครือข่าย ตามงานของ Goffman (1959), Donath และ boyd(2004) และ boyd และเกษตร (2006), ว่าจ้างผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมเป็นการแสดงของตน กลยุทธ์นำเสนอตัวเอง ผ่านการสร้างขึ้นรับเลส ความท้าทายของผู้ใช้คือการ เพิ่มเครือข่ายมีความหลากหลายของความสัมพันธ์ทางสังคมในทำนองเดียวกัน Lampe et al. (2006) สังเกตว่า โต่งใช้และเปิดเผยข้อมูลภายในบริการเครือข่ายสังคมเป็นไปผลแบบออฟไลน์เช่นก่อสัมพันธ์และลึก โดยบัม (2007) และ Joinson (2008) แสดงแรงจูงใจทางสังคมของเครือข่ายสังคมบริการใช้และผลลัพธ์ข้อมูลส่วนบุคคลเปิดเผยข้อมูล:ความต้องการของผู้เข้าร่วมการเชื่อมต่อ และเรียนรู้อื่น ไม่ มีความต้อนบุคคลร่วมในไซต์เหล่านี้ สนคำครหาเหล่านี้การใช้จะไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้ การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า SNSs ดูเหมือนต้อง selfdisclosureโดยค่าเริ่มต้น (al. Joinsonet 2011 เหงียน etal 2012)ประจักษ์หลักฐานให้ศึกษาแรกสุดบนบริการเครือข่ายสังคมคอนกรีตแนวทางปฏิบัติเปิดเผยโดดเด่นภายในไซต์ ทำงาน โดย Acquisti และรวม (2006) พบว่านักเรียนในเครือข่าย Facebook คาร์เนกีเมลลอนมหาวิทยาลัยข้อมูลที่สำคัญ เช่นมุมมองทางการเมือง และทางเพศที่ใช้ร่วมกันอย่างกว้างขวางวางใน Facebook และข้อมูลที่ใช้ร่วมกันใน Facebook ได้โดยทั่วไปตนเองรายงานที่ถูกต้อง การศึกษาอื่น ๆ ดำเนินการในขณะที่ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆเครือข่าย Stutzman (2006) และ al. Lampeet (2006), เป็นหลักฐานต่อไป นี้ระดับสูงของการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายในบริการเครือข่ายสังคม การศึกษาขนาดใหญ่Thelwall (2008) และ James และเวบบ์ (2008) ระบุหลักฐานของที่คล้ายกันปรากฏการณ์การเปิดเผยในมายสเปซ เมื่อบริการที่เครือข่ายสังคมชั้นนำผลการวิจัยเหล่านี้ถูก corroborated โดยการศึกษาความน่าเป็นชาติที่ดำเนินการโดยLenhart และ Madden (2007)แม้นี้ ดูเหมือนว่าปัจจุบันที่ผู้ใช้จะกลายเป็นมากมายความเสี่ยงความเป็นส่วนตัว (บางอย่าง) เชื่อมต่อกับเครือข่ายทางสังคม ในการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสะดวก ด้วยตนเองเปิดเผยFrye และ Dornisch (2010) วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าร่วมของสหรัฐอเมริกาที่ 214 พวกเขารายงานว่า ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะ รู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นเปิดเผยข้อมูลเมื่อพวกเขามองเห็นเครื่องมือสื่อสารเป็นการนำเสนอความเป็นส่วนตัวในระดับที่สูงขึ้นเกี่ยวกับ Facebook เปลี่ยนตัวให้บริการเครือข่ายสังคมโลกและเปลี่ยนอินเทอร์เฟซ และนโยบายของไซต์มีการเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลความน่าเชื่อถือมีใน Facebook ตัวเอง ซึ่งอธิบายมักจะเป็นเครือข่ายทางสังคมที่เชื่อถือได้มากขึ้นบริการ (โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับมายสเปซ (Dwyeret al. 2007) ถึงต่อสู้เพิ่มขึ้นในความเป็นส่วนตัว และลดลงในผู้ที่เปิดเผยตัวแพลตฟอร์ม Facebook ได้อย่างต่อเนื่องเปลี่ยนแปลงลักษณะของสินค้าบางอย่างในการใช้ร่วมกันแพลตฟอร์ม และเริ่มต้นการตั้งค่าสำหรับบัญชีใหม่การใช้ร่วมกันความตระหนักเพิ่มขึ้นผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาความเป็นส่วนตัว และตามมาดีกว่า ใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้ โดยเครือข่ายสังคมออนไลน์ บริการอาจช่วยกำหนดประเด็นการเปิดเผยตนเอง และมีส่วนร่วมในการจัดการบริบทยุบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การเปิดเผยตัวเองการวิจัยก่อนที่ได้มีการพิจารณาในช่วงของแรงจูงใจในการเปิดเผยตัวเองในสังคมเครือข่ายบริการ ตามผลงานของ Goffman นี้ (1959), Donath และบอยด์(2004) และบอยด์และเฮียร์ (2006) ผู้ใช้จ้างบริการเครือข่ายสังคมเช่นประสิทธิภาพการทำงานของตัวตน กลยุทธ์การนำเสนอตัวเองผ่านการสร้างles Profi ความท้าทายของผู้ใช้คือการเพิ่มเครือข่ายของพวกเขาที่มีความหลากหลายของความสัมพันธ์ทางสังคม. ในทำนองเดียวกัน Lampe et al, (2006) ทราบว่าแรงจูงใจสำหรับการใช้งานและการเปิดเผยข้อมูลภายในให้บริการเครือข่ายสังคมที่มีฟังก์ชั่นของผลลัพธ์ออฟไลน์เช่นการสร้างความสัมพันธ์และลึก ทำงานโดย Bumgarner (2007) และ Joinson (2008) แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจทางสังคมในการให้บริการเครือข่ายสังคมที่ใช้และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้น: ความปรารถนาที่จะเข้าร่วมการเชื่อมต่อและเรียนรู้เกี่ยวกับอีกคนหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้งานร่วมกันอย่างมีนัยสำคัญส่วนบุคคลลาดเทในเว็บไซต์เหล่านี้แรงจูงใจเหล่านี้ในการใช้จะไม่ได้รับการแก้ไข ด้วยเหตุนี้การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า SNSs ดูเหมือนจะต้อง selfdisclosure โดยค่าเริ่มต้น (อัล Joinsonet 2011. เหงียน 2012 etal.). การศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดบนพื้นคอนกรีตบริการเครือข่ายทางสังคมให้หลักฐานเชิงประจักษ์ในวิธีปฏิบัติที่การเปิดเผยข้อมูลที่น่าทึ่งภายในเว็บไซต์ การทำงานโดย Acquisti และรวม(2006) พบว่านักเรียนในเครือข่ายมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon Facebook ที่ใช้ร่วมกันอย่างกว้างขวางข้อมูลที่สำคัญเช่นมุมมองทางการเมืองและทางเพศการวางแนวทางใน Facebook, และข้อมูลที่ใช้ร่วมกันใน Facebook เป็นปกติตนเองรายงานที่ถูกต้อง การศึกษาอื่น ๆ ดำเนินการในเวลาที่แตกต่างกันในมหาวิทยาลัยเครือข่ายรวมทั้งStutzman (2006) และอัล Lampeet (2006) ต่อหลักฐานระดับสูงของการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในบริการเครือข่ายทางสังคม การศึกษาขนาดใหญ่เช่น Thelwall (2008) และเจมส์เว็บบ์ (2008) ให้หลักฐานที่คล้ายกันของปรากฏการณ์การเปิดเผยข้อมูลในMySpace, ครั้งหนึ่งในผู้นำด้านบริการเครือข่ายทางสังคม. การค้นพบนี้ได้รับการยืนยันโดยการศึกษาน่าจะเป็นชาติที่ดำเนินการโดยLenhart และ Madden (2007) อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดูเหมือนว่าในปัจจุบันที่ผู้ใช้จะกลายเป็นมากขึ้นและตระหนักถึง(อย่างน้อยบางส่วน) ความเป็นส่วนตัวมีความเสี่ยงที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคม ในการศึกษาของพวกเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายกับการเปิดเผยตัวเอง, ฟรายและ Dornisch (2010) การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าร่วม 214 สหรัฐอเมริกา พวกเขารายงานว่าผู้เข้าร่วมมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าข้อมูลที่เปิดเผยสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อพวกเขารับรู้เครื่องมือสื่อสารว่าเป็นการนำเสนอระดับที่สูงขึ้นของความเป็นส่วนตัว. เกี่ยวกับ Facebook, การเปลี่ยนแปลงในการให้บริการเครือข่ายสังคมโลกและการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟซและนโยบายเว็บไซต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับของบุคคลที่ไว้วางใจได้ใน Facebook ของตัวเองซึ่งได้รับการอธิบายมักจะเป็นเครือข่ายที่น่าเชื่อถือทางสังคมมากขึ้นบริการ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสเปซ (Dwyeret al. 2007). ในการต่อสู้กับการเพิ่มขึ้นของความเป็นส่วนตัวและลดลงเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ชมที่กว้างในแพลตฟอร์มFacebook มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องลักษณะของการใช้งานร่วมกันบางรายการในแพลตฟอร์มและการตั้งค่าการใช้งานร่วมกันเริ่มต้นสำหรับบัญชีใหม่. รับรู้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความเป็นส่วนตัวและผลเนื่องมาจากการใช้งานที่ดีขึ้นของการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์อาจช่วยในการประเด็นการเปิดเผยตัวเองและมีส่วนร่วมในการจัดการของบริบทการล่มสลาย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การเปิดเผยตนเองวิจัยได้พิจารณาช่วงของแรงจูงใจสำหรับการเปิดเผยตนเองในการให้บริการเครือข่ายสังคม

ตามผลงานของ goffman ( 1959 ) และ donath บอยด์
( 2004 ) และ บอยด์ และ เฮอร์ ( 2006 ) , ผู้ใช้ที่ใช้บริการเครือข่ายทางสังคมเป็นประสิทธิภาพ
สถานะ กลยุทธ์ที่นำเสนอตัวเองผ่านสร้าง
Profi เลส ,ความท้าทายของผู้ใช้เพื่อเพิ่มความผูกพันของสังคมเครือข่ายที่หลากหลาย
ในทํานองเดียวกัน แลมป์ et al . ( 2006 ) ทราบว่า แรงจูงใจในการใช้และการเปิดเผยข้อมูลภายใน
บริการเครือข่ายทางสังคมเป็นส่วนของผล เช่น การสร้างสัมพันธ์ครับ
และลึก . ทำงานโดยบัมการ์เนอร์ ( 2007 ) และ joinson
( 2551 ) แสดงแรงจูงใจทางสังคมของการใช้บริการเครือข่ายทางสังคม และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลจาก :
เข้าร่วมความปรารถนาที่จะเชื่อมต่อและเรียนรู้อีกเรื่องหนึ่ง โดย signifi ลาดเทแบ่งปันส่วนบุคคลในเว็บไซต์เหล่านี้ เหล่านี้ต่างใช้ไม่ได้จะมี
จ่าหน้า ด้วยเหตุนี้ การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า snss ดูเหมือนจะต้อง selfdisclosure
โดยปริยาย ( joinsonet อัล 2011 ; เหงียน คณะ .
2012 )การศึกษาที่เร็วที่สุดในบริการเครือข่ายทางสังคมคอนกรีตให้
หลักฐานเชิงประจักษ์ของการปฏิบัติที่โดดเด่นภายในเว็บไซต์ งานโดยรวมและ acquisti
( 2006 ) พบว่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน Facebook เครือข่ายอย่างกว้างขวางที่แบ่งปันข้อมูลที่สําคัญ เช่น

การเมืองทางเพศปฐมนิเทศใน Facebookและข้อมูลที่ใช้ร่วมกันใน Facebook โดยทั่วไป
self-reported เป็นที่ถูกต้อง อื่น ๆการศึกษาที่เวลาในเครือข่ายมหาวิทยาลัย
ต่าง ๆรวมทั้ง stutzman ( 2006 ) และ lampeet อัล ( 2006 ) , เพิ่มเติมเป็นหลักฐาน
ระดับสูงของการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลภายในบริการเครือข่ายทางสังคม การศึกษาขนาดใหญ่
เช่น thelwall ( 2008 ) และ เจมส์ และ เว็บบ์ ( 2008 ) มีหลักฐานคล้ายกัน
การเปิดเผยข้อมูลปรากฏการณ์ใน MySpace เมื่อนำพาสังคมเครือข่ายบริการ ข้อมูลเหล่านี้ถูก corroborated โดย
ชาติโอกาสการศึกษาโดย
lenhart และ Madden ( 2550 ) .
แม้นี้ เหมือนทุกวันนี้ที่ผู้ใช้มีมากขึ้นและมากขึ้นตระหนักถึง
( อย่างน้อย ) ความเป็นส่วนตัวความเสี่ยงที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายทางสังคม ในการศึกษาของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับ
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ของความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายกับการเปิดเผยตนเอง ,
ฟราย dornisch ( 2010 ) และวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเราผู้เข้าร่วม มีรายงานว่า ผู้เข้าร่วม
มีแนวโน้มที่จะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นในการเปิดเผยข้อมูล
เมื่อพวกเขารับรู้ว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารให้ระดับที่สูงขึ้นของความเป็นส่วนตัว .
เกี่ยวกับ Facebookการเปลี่ยนแปลงของบริการเครือข่ายทางสังคมทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟซ
และนโยบายของเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงระดับของบุคคล
ไว้วางใจได้ใน Facebook นั่นเอง ซึ่งก็อธิบายมักจะเป็นที่เชื่อถือได้มากขึ้นเครือข่ายทางสังคม
บริการ ( โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ MySpace ( dwyeret อัล 2007 )

เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดลงในการเปิดเผยให้ผู้ชมที่กว้างใน
แพลตฟอร์มของ Facebook ได้อย่างต่อเนื่องการเปลี่ยนแปลงลักษณะของการแบ่งปันสินค้าบางอย่างใน
แพลตฟอร์มและเริ่มต้นแบ่งปันการตั้งค่าสำหรับบัญชีใหม่
เพิ่มความตระหนักของผู้ใช้เกี่ยวกับประเด็นความเป็นส่วนตัวและ consequent
ดีกว่าใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ อาจจะช่วย
ในประเด็นการเปิดเผยตนเองและมีส่วนร่วมใน การจัดการบริบท

ยุบ