เทศกาลตินาญัง (Dinagyang) ของเมืองอิโล อิโล (Iloilo) จังหวัดอิโลอิโล บนเกาะพาเนย์ (Panay) ซึ่งอยู่ค่อนไปทางใต้ของประเทศ ใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินจากมะนิลาราว 1 ชั่วโมง หรือทางเรือเฟอร์รีประมาณ 20 ชั่วโมง ถ้าจะไปด้วยรถยนต์ ต้องเอารถลงเรือเฟอร์รีที่วิ่งระหว่างเกาะใหญ่ๆ ทั่วประเทศ เพราะฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเกาะมากที่สุดของโลก คือ 7,107 เกาะ การเดินทางจึงต้องพึ่งเรือและเครื่องบินเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นการเดินทางภายในเกาะ
ว่ากันว่าเมื่อ 30,000 ปีมาแล้ว เกาะต่างๆ เหล่านี้เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ มีทางเชื่อมต่อกับแหลมมลายู (Malay Peninsula) สุมาตรา บอร์เนียว ซาราวัก และผืนแผ่นดินทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ด้วยชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ดั้งเดิมเป็นชาวอะบอริจินส์ (Aborigines) จากบอร์เนียว สุมาตรา มีลักษณะผมหยิกดำ ผิวสีเข้ม คล้ายนิโกรในแอฟริกา จึงเรียกว่า Negrito อันเป็นลักษณะของชนเผ่าดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกที่ข้ามไปฟิลิปปินส์เรียกว่าเออีตาส์ (Aetas) ซึ่งมีหลายเผ่า อาศัยตามเกาะต่างๆ และเนื่องจากเป็นเกาะ ความเจริญเข้าถึงยาก เครื่องดนตรีจึงมีแต่กล่อง อาวุธมีแต่หอกกับธนู เป็นที่มาของเทศกาลต่างๆ ของฟิลิปปินส์ที่มีการเขียนหน้าตาเหล่านักรบ ทาร่างกายเป็นสีดำหรือน้ำตาลดำ ถือหอกและธนู
เทศกาลตินาญังของจังหวัดอิโล อิโล จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคม มีที่มาจากขบวนแห่รับพระรูปของพระเยซูน้อย (Santo Nino หรือ Child Jesus) ที่บาทหลวงชาวสเปนนำเข้ามาในฟิลิปปินส์หลายร้อยปีมาแล้ว โดยนับถือว่าพระองค์ช่วยขับไล่โจรสลัดซึ่งมักมารุกรานชาวเกาะในสมัยโบราณ ทุกปีชาวเมืองจะแห่พระรูปไปตามถนนในเมือง ต่อมาจึงเปลี่ยนแปลงเป็นการประกวดขบวนแห่และการเต้นรำตามท้องถนน โดยเพิ่มวันงานขึ้นอีก 1 วัน เป็นวันเสาร์ที่สามของเดือนมกราคม เรียกว่า “Kasadyahan” แปลว่า “ความสุข หรือความสนุก”
ขบวนแห่ที่เต้นระบำในวัน Kasadyahan แต่งกายในชุดพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหญิงและชาย แต่ละขบวนเรียกเป็นเผ่า (Tribe หรือ Tribu) แต่ละเผ่ามีการแสดงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสมัยโบราณ ดนตรีประกอบใช้ดนตรีได้ทุกชนิด ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนถึงวันจริง วันอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคมจึงจะเป็นตินาญังของจริง ผู้แสดงต้องทาหน้าตาและร่างกายด้วยสีดำหรือน้ำตาลดำ ผู้ชายแต่งกายเป็นนักรบโบราณ มีหมวกขนนกสีสันต่างๆ กัน และถืออาวุธ เช่น หอกหรือธนู ผู้หญิงก็นุ่งกระโปรงหญ้า และทาตัวด้วยสีน้ำตาลดำเช่นกัน ที่สำคัญคือทุกเผ่าจะต้องมีรูปพระเยซูน้อยเป็นสัญลักษณ์