กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… มีชายยาจกคนหนึ่ง ชายผู้นี้ปลูกเป็นกระท่อมเล็กๆใกล้บ้านเศรษฐี แต่ที่แปลกประหลาดก็คือเขาจะย้ายกระท่อมที่พักนี้ตามทิศทางลม เพราะชายผู้นี้จะคอยสูดกลิ่นอาหารที่มาจากบ้านเศรษฐีแล้วกินข้าวเปล่าตามไป
เศรษฐีเกิดความสงสัย ว่าทำไมชายยากจผู้นี้ย้ายกระท่อมบ่อย จึงให้คนรับใช้ไปสืบดู จึงได้รู้ความจริงว่าย้ายตามฤดูกาลของทิศทางลม เพื่อจะสูดกลิ่นอาหารจากบ้านของตน
เมื่อเศรษฐีทราบดังนั้น ก็รีบไปบอกกับชายยาจกว่า ” เจ้ามีชีวิตอยู่ได้เพราะกลิ่นอาหารจากบ้านของเรา ด้วยเหตุนี้เจ้าจะต้องมาเป็นคนรับใช้บ้านเรา ”
ชายยาจกไม่ยอม เศรษฐีโมโหจึงนำชายยาจกไปฟ้องผู้พิพากษา ผู้พิพากษาตัดสินให้ชายยาจกเป็นคนรับใช้ของบ้านเศรษฐี
แต่ชายยาจกก็ยังไม่ยอม จึงยื่นอุทรณ์ร้องทุกข์ต่อเจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองทราบเรื่องราว ก็สั่งให้ขุนนางนำผ้าขาวมาวางไว้กลางท้องพระโรง แล้วให้นำเงินไปวางไว้ในผ้าขาว จากนั้นเจ้าเมืองก็พูดกับเศรษฐีว่า ” จงรับเงินค่าตัวของชายยาจกไปเถิด ”
เมื่อเศรษฐีรับเงินไปแล้ว เจ้าเมืองถามเศรษฐีว่า “เมื่อเศรษฐีหยิบเงินค่าตัวของชายยาจกนั้น ชายยาจกก็เห็นท่านหยิบเงิน แต่เขามีส่วนได้รับเงินจากการมองเห็นหรือไม่?”
เศรษฐีตอบว่า “ไม่ได้รับเงินจากการมองเห็นพระเจ้าข้า”
เจ้าเมืองพูดต่อว่า “ก็เปรียบได้กับอาหารของเศรษฐี ถึงใครจะสูดกลิ่นอาหาร แต่อาหารก็ยังคงเดิมไม่สูญหายไป เพราะฉะนั้นเศรษฐีจะเอาชายยาจกเป็นคนรับใช้ไม่ได้”
จากนั้นทั้งเศรษฐีและชายยาจกก็กลับไปบ้านของตนเองด้วยความยินดี และเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
นิทานอาเซียนเขมร ( ประเทศกัมพูชา ) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ” เพื่อนบ้านที่ดีต้องมีน้ำใจต่อกัน “