ชื่อวิทยานิพนธ์ : การศึกษาเปรียบเทียบปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะ
ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
ผู้วิจัย : พระมหารุ่งเรือง ขนฺติสโห (เหิดขุนทด)
ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา)
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์
: พระมหาสุพัตร์ วชิราวุโธ ดร.
: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เกียรติศักดิ์ นาคประสิทธิ์
วันสำเร็จการศึกษา : ...../....../........
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะในพระพุทธศาสนาเถรวาทนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาปัณณัตติวัชชะในพระพุทธศาสนาเถราวาท (๒) เพื่อศึกษาโลกวัชชะในพระพุทธศาสนาเถราวาท (๓) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า
ปัณณัตติวัชชะในพระพุทธศาสนาเถราวาท ถือว่าเป็นโทษทางพระวินัยบัญญัติไว้ คนที่เป็นคฤหัสถ์ทำเข้าไม่เป็นความผิด ถือเอาความผิดนั้นเฉพาะพระภิกษุโดยฐานละเมิด พระวินัย เช่น ขุนดิน ฉันอาหารในเวลาวิกาล จับต้องหรือใช้เงินและทอง ผิงไฟ ว่ายน้ำ เป็นต้น โทษอย่างนี้เรียกว่า ปัณณัตติวัชชะ มูลเหตุการณ์บัญญัติปัณณัตติวัชชะ เพื่อให้ละเว้นจากการทำความชั่ว ให้ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้เบิกบาน ผ่องใส รวมถึงความผาสุขแห่งสงฆ์ โดยองค์ประกอบที่สำคัญ คือ สจิตตกะ (ความเจตนา) อจิตตกะ (ความไม่มีเจตนา) เพราะเมื่อไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดโทษแห่งการล่วงละเมิดปัณณัตติวัชชะคือ โทษหนัก (ปาราชิก,สังฆาทิเสส) และโทษเบา (ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต) แต่หากผู้ใดปฏิบัติตามพระวินัยก็จะได้รับประโยชน์แห่งการไม่ล่วงละเมิดปัณณัตติวัชชะ ได้แก่ ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนใจว่าบวชเข้ามาเป็นพระแล้วทำผิดศีลผิดวินัย เป็นต้น
โลกวัชชะในพระพุทธศาสนาเถราวาท เป็นโทษทางโลก คือ คนที่เป็นคฤหัสถ์ทำเข้าก็เป็นความผิด ภิกษุทำเข้าก็เป็นความผิด เช่น โจรกรรม ฆ่ามนุษย์ ตลอดจนถึงโทษสถานเบา เช่น การทุบตีกัน เป็นต้น เมื่อภิกษุทำกรรมเช่นนี้ย่อมผิดทั้งกฏหมายบ้านเมือง และผิดทางวินัยสงฆ์ โลกวัชชะในพระพุทธศาสนาพบว่าสังคมของภิกษุผู้ว่ายาก ทั้งในครั้งพุทธกาลและปัจจุบันได้เกิดวิกฤตทางศีลธรรม ส่งผลให้เกิดปัญหาและผลกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก เช่น ปัญหาการล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติการเป็นผู้ว่ายากสอนยาก การปฏิบัติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ตามใจตนเองโดยใส่ใจใคร่ครวญในสิ่งที่คนมอง การละเลยกิจวัตรของสงฆ์ เป็นต้น ทำให้ได้รับการตำหนิติเตียนศาสนิกของศาสนาอื่น แม้แต่ในพุทธศาสนิกชนด้วยกันเองก็ไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในความประพฤติของตัวพระภิกษุ ปัญหาทั้งหมดล้วนมีมูลเหตุมาจากความไม่เข้าใจหรือไม่ใส่ใจศึกษาในหลักไตรสิกขา มีความเห็นผิด มิจทิฏฐิ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดและพฤติกรรมต่างๆ ของพระภิกษุผู้ว่ายาก เกิดความวิปริตผิดทำนองคลองธรรม อันเป็นมูลเหตุทำให้เกิดความตกต่ำและเสื่อมเสียมาถึงองค์กรสงฆ์หมู่ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้ว่ายากสอนยากเหล่านั้น ไม่ได้ศึกษาในหลักของพระธรรมพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดให้ถ่องแท้และเข้าใจ จึงมองไม่เห็นคุณค่าของข้อวัตรปฏิบัติในทางศีลธรรมคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นเหตุให้มีพุทธบัญญัติอันเป็นปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะสิ่งที่ชาวโลกติเตียน
เปรียบเทียบปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะในพระพุทธศาสนาเถรวาท การกระทำที่เป็นการล่วงละเมิดด้านพระธรรมวินัยเกิดเป็นความเศร้าหมองมี ๒ อย่าง คือ (๑) โลกวัชชะ คือ โทษทางโลก ได้แก่ การประพฤติล่วงอกุศลกรรมบถ เช่น การฆ่าสัตว์ เป็นต้น เป็นโทษที่ปรากฏชัดเจน (๒) ปัณณัติติวัชชะ โทษทางวินัยบัญญัติ เช่น รู้อยู่ บวชให้บุคคลมีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี เป็นพระภิกษุ โทษทั้งสองอย่างนี้ มีหลักฐานในวชิรพุทธฏีกา เป็นคัมภีร์ฏีกาที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวินัย คือ (๑) การประกาศให้รู้โลกวัชชะ ความตั้งอยู่ด้วยดีแห่งสงฆ์มีได้เพราะโทษปรากฏชัดเจน เมื่อนำสิ่งที่ชาวโลกเห็นว่าเป็นความผิดมาบัญญัติไว้ สังคมก็จะยอมรับเพราะมองเห็นโทษอย่างชัดเจน (๒) ในเพราะประกาศให้รู้ปัณณัตติวัชชะ คือ ความผาสุกแห่งสงฆ์มีได้เพราะอานิสงส์ปรากฏชัดเจน เมื่อนำเอาสิ่งที่ทรงเห็นว่า ควรบัญญัติมาบัญญัติไว้ สังคมก็อยู่อย่างผาสุก เพราะมองเห็นอานิสงส์อย่างชัดเจน ดังนั้นการกล่าวถึงโลกวัชชะเกิดขึ้นได้เพราะมีอกุศล คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ และกล่าวถึงปัณัตติวัชชะ เกิดขึ้นได้เพราะการกระทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามหรือไม่ควรกระทำสิ่งที่ควรกระทำ สำหรับโลกวัชชะ คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทนั้นแล้ว เพราะโลกวัชชะเพื่อความตั้งอยู่ด้วยดีแห่งสงฆ์ โดยภาวะแห่งอกุศลโดยส่วนเดียว ในเพราะก้าวล่วงวัตถุ สิกขาบทใดที่ล่วงละเมิดแล้ว มีความชั่วโดยส่วนเดียว ทรงบัญญัติสิกขาบทนั้น เพื่อการยอมรับของสังคมเพราะชาวโลกเห็นว่ามีความผิด ส่วนปัณณัติวัชชะ เมื่อกระทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม แม้เพราะไม่มีเจตนาก้าวล่วงวัตถุหรือบัญญัติก็ตาม เช่นเพราะมีจิตรู้ว่าเป็นดอกไม้ และอาบัติที่เป็นปัณณัตติวัชชะนั้น ได้แก่ อาบัติที่ต้องในเวลามีจิตเป็นกุศล เช่น เก็บดอกไม้บูชาพระ แต่ผิดบัญญัติเรื่องพรากของเขียว เป็นต้น