HistoryklpOriginally the instrument

History
klp
Originally the instruments relied on the Earth's magnetic field to provide the restoring force for the compass needle;
these were called "tangent" galvanometers and had to be oriented before use.
Later instruments of the "astatic" type used opposing magnets to become independent of the Earth's field and would operate in any orientation.
The most sensitive form,
the Thompson or mirror galvanometer,
was improved by William Thomson (Lord Kelvin) from the early design invented in 1826 by Johann Christian Poggendorff.
Thomson's design, which he patented in 1858, was able to detect very rapid current changes. Instead of a compass needle, it used tiny magnets attached to a small lightweight mirror, suspended by a thread; the deflection of a beam of light greatly magnified the deflection due to small currents.
Alternatively the deflection of the suspended magnets could be observed directly through a microscope.
The ability to quantitatively measure voltage and current allowed Georg Ohm to formulate Ohm's Law, which states that the voltage across a conductor is directly proportional to the current through it.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ประวัติ

klp เดิมเครื่องมืออาศัยสนามแม่เหล็กของโลกที่จะให้ค่าแรงกับเข็มทิศ;
เหล่านี้ถูกเรียกว่า "สัมผัส" galvanometers และจะต้องมุ่งเน้นการก่อนการใช้งาน
เครื่องมือต่อมาของ "astatic" ชนิดที่ใช้แม่เหล็กตรงข้ามที่จะเป็นอิสระของข้อมูลของโลกและจะดำเนินการในทิศทางใด.
รูปแบบที่มีความสำคัญมากที่สุด
thompson หรือกระจกกระแสไฟฟ้า,
ได้รับการปรับปรุงโดยวิลเลียมทอมสัน (เคลวินลอร์ด) จากการออกแบบต้นคิดค้นใน 1826 โดย poggendorff คริสเตียน johann.
ทอมสันออกแบบที่เขาจดสิทธิบัตรในปี 1858 ก็สามารถที่จะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันมาก แทนเข็มของเข็มทิศจะใช้แม่เหล็กเล็ก ๆ ที่ติดอยู่กับกระจกที่มีน้ำหนักเบาขนาดเล็กห้อยต่องแต่ง;โก่งของคานของแสงอย่างมากขยายโก่งเนื่องจากกระแสขนาดเล็ก
หรือโก่งของแม่เหล็กระงับอาจจะสังเกตได้โดยตรงผ่านกล้องจุลทรรศน์.
ความสามารถในการวัดปริมาณแรงดันและเฟรดได้รับอนุญาตในปัจจุบันโอห์มโอห์มในการกำหนดของกฎหมายที่ระบุว่าแรงดันในตัวนำเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปัจจุบันผ่านมัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ประวัติ
klp
เดิม เครื่องมือที่อาศัยในสนามแม่เหล็กของโลกเพื่อให้บังคับให้คืนค่าเข็มพาส;
เหล่านี้ถูกเรียกว่า galvanometers "แทนเจนต์" และต้องเป็นแนวก่อนที่จะใช้
ต่อมาเครื่องมือชนิด "astatic" ใช้แม่เหล็กที่ฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นขึ้นอยู่กับฟิลด์ของโลก และจะดำเนินในแนวใดก็
แบบสำคัญมากที่สุด,
galvanometer ทอมป์สันหรือกระจก,
ขึ้น โดยวิลเลียมทอมสัน (ลอร์ดเคลวิน) จากแบบแรกที่คิดค้นใน 1826 โดยโยฮันน์คริสเตียน Poggendorff.
ออกแบบของทอมสัน ซึ่งเขาจดสิทธิบัตรในค.ศ. 1858 ไม่สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันอย่างรวดเร็วมากขึ้น แทนเข็มพาส มันใช้แม่เหล็กเล็ก ๆ ที่แนบกับกระจกน้ำหนักเบาขนาดเล็ก หยุดชั่วคราว โดยเธรด deflection ของแสงการขยาย deflection จากกระแสขนาดเล็กมาก
หรือ สามารถสังเกต deflection ของแม่เหล็กเลื่อนออกไปโดยตรงผ่านกล้องจุลทรรศน์เป็นการ
สามารถวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแส quantitatively อนุญาตจอร์จโอห์มเพื่อกำหนดกฎของโอห์ม ซึ่งระบุว่า แรงดันไฟฟ้าระหว่างตัวนำเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปัจจุบันผ่านมัน ได้

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ประวัติ

ซึ่งจะช่วย klp เดิมตราสารที่เน้นการใช้ฟิลด์ของแม่เหล็กของโลกในการให้มีผลใช้บังคับการกู้คืนสำหรับเข็มทิศ
เหล่านี้เป็นเรียกว่า"นอกลู่นอกทาง" galvanometers และต้องเน้นก่อนการใช้งาน
ใน ภายหลัง ตราสารของ" astatic " ประเภท ใช้การคัดค้านแม่เหล็กเป็นอิสระของที่ดินของฟิลด์และจะใช้งานในทุกทิศทาง.
ที่ไวมากที่สุดรูปแบบ,
เครื่องวัดกระแสไฟฟ้ากระจกหรือสัน
ก็ดีขึ้นโดยวิลเลียมสัน(พระชาตื Kelvin )จากการออกแบบที่ผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาในช่วงต้นปีปี 1826 โดย Johann คริสเตียน poggendorff .
ทอมสันของการออกแบบซึ่งเขาได้จดสิทธิบัตรแล้วในปี 1858 ก็สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันเป็นอย่างมาก แทนที่จะเป็นเข็มเข็มทิศแม่เหล็กที่จะใช้ขนาดเล็กอยู่ติดกับกระจกขนาดเล็กน้ำหนักเบาที่ถูกระงับไว้โดยเกลียวที่การหักเหแสงของลำแสงของแสงไฟมากยิ่งขึ้นรวมถึงการหักเหแสงได้เนื่องจากกระแสน้ำขนาดเล็ก
มีทางเลือกสำหรับการหักเหแสงของแม่เหล็กที่ถูกระงับชั่วคราวไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยตรงผ่านทางกล้องจุลทรรศน์.
ความสามารถในการเสริมสร้างการวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าได้รับอนุญาตให้เขตพื้นที่ St Georg ยังโอห์มเพื่อกำหนดกฎของโอมซึ่งรัฐที่ระดับแรงดันไฟฟ้าที่อยู่ทางฝั่งด้านตรงข้ามคนที่เป็นสัดส่วนโดยตรงเป็นปัจจุบันผ่านไปได้