แมงลักเป็นไม้ล้มลุกสกุลเดียวกับกะเพราและโหระพา ต้นและใบมีลักษณะใกล้เคียงกับกระเพรามาก ต่างกันเล็กน้อยตรงที่ใบแมงลักมีขนอ่อนปกคลุม ทั้งใบยังสีเขียวนวลกว่าและกลิ่นหอมฉุนน้อยกว่า ใบแมงลักมีสารอาหารหลายชนิด ในใบแมงลัก 100 กรัม มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน รวมทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก
กลิ่นหอมของใบแมงลักเกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 0.7 ส่วนประกอบหลักคือ ซิทรัล (Sitral) ใบแมงลักจึงมีกลิ่นหอมคล้ายเลมอน เป็นที่มีของชื่อภาษาอังกฤษอีกชื่อว่า Lemon basil น้ำมันหอมระเหยในใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้องเนื่องจากมีลมในกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจ น้ำคั้นจากใบสดใช้ดื่มแก้หวัดและอาการหลอดลมอักเสบ ใช้ใบสดขยี้ทาหรือโขลกพอกแก้ผื่นคันและโรคผิวหนัง ดังมีผลในห้องทดลองยืนยันว่า สารสกัดจากใบแมงลักมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
อีกส่วนที่นิยมนำมากินคือ ผลแก่แห้ง หรือที่เรียกกันว่า เมล็ดแมงลัก เปลือกเมล็ดมีสารเมือก (Mucilage) เมื่อนำไปแช่น้ำจะพองตัวได้ถึง 45 เท่า ลักษณะเป็นวุ้นใสหุ่มเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ไว้ข้างในคล้ายไข่กบ เป็นเส้นใยอาหารชนิดที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเพิ่มกากอาหารในลำไส้ หล่อลื่นและเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ลดเวลาที่กากอาหารสะสมในลำไส้ บรระเทาอาการท้องผูก แต่มีข้อควรระวังว่า ต้องแช่น้ำให้เมล็ดพองตัวเต็มที่ก่อน มิเช่นนั้นเมล็ดแมงลักจะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการขาดน้ำหรือลำไส้อุดตัน ก่อให้เกิดอาการท้องผูกยิ่งขึ้น
สูตรเมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่ในน้ำ 1 แก้ว ตั้งทิ้งไว้จนพองเต็มที่ กินก่อนนอนเป็นยาระบาย แต่จะเป็นยาลดความอ้วนเมื่อกินก่อนอาหาร เพราะเมล็ดแมงลักจะไปแทนที่ในกระเพาะทำให้กินอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว อีกทั้งเมล็ดแมงลักยังให้พลังงานน้อยมาก ปัจจุบันจึงมีการนำเมล็ดแมงลักมาผลิตเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนกันอย่างแพร่หลาย