TransmissionThe common cold virus i

Transmission
The common cold virus is typically transmitted via airborne droplets (aerosols), direct contact with infected nasal secretions, or fomites (contaminated objects).[4][23] Which of these routes is of primary importance has not been determined; however, hand-to-hand and hand-to-surface-to-hand contact seems of more importance than transmission via aerosols.[24] The viruses may survive for prolonged periods in the environment (over 18 hours for rhinoviruses) and can be picked up by people's hands and subsequently carried to their eyes or nose where infection occurs.[23] Transmission is common in daycare and at school due to the proximity of many children with little immunity and frequently poor hygiene.[25] These infections are then brought home to other members of the family.[25] There is no evidence that recirculated air during commercial flight is a method of transmission.[23] However, people sitting in close proximity appear at greater risk.[24] Rhinovirus-caused colds are most infectious during the first three days of symptoms; they are much less infectious afterwards.[26]

Weather
The traditional folk theory is that a cold can be "caught" by prolonged exposure to cold weather such as rain or winter conditions, which is how the disease got its name.[27] Some of the viruses that cause the common colds are seasonal, occurring more frequently during cold or wet weather.[28] The reason for the seasonality has not been conclusively determined.[29] This may occur due to cold-induced changes in the respiratory system,[30] decreased immune response,[31] and low humidity increasing viral transmission rates, perhaps due to dry air allowing small viral droplets to disperse farther and stay in the air longer.[32] It may be due to social factors, such as people spending more time indoors, near an infected person,[30] and specifically children at school.[25][29] There is some controversy over the role of low body temperature as a risk factor for the common cold; the majority of the evidence suggests that it may result in greater susceptibility to infection.[31]

Other
Herd immunity, generated from previous exposure to cold viruses, plays an important role in limiting viral spread, as seen with younger populations that have greater rates of respiratory infections.[33] Poor immune function is also a risk factor for disease.[33][34] Insufficient sleep and malnutrition have been associated with a greater risk of developing infection following rhinovirus exposure; this is believed to be due to their effects on immune function.[35][36] Breast feeding decreases the risk of acute otitis media and lower respiratory tract infections among other diseases[37] and it is recommended that breast feeding be continued when an infant has a cold.[38] In the developed world breast feeding may not however be protective against the common cold in and of itself.[39]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ส่งโดยทั่วไปมีส่งไวรัสหวัดผ่านอากาศหยด (โรง), ติดต่อโดยตรงกับการติดเชื้อโพรงจมูกหลั่ง หรือ fomites (วัตถุปนเปื้อน) [4] [23] ซึ่งกระบวนการผลิตเหล่านี้เป็นหลักสำคัญไม่ตัดสินได้ อย่างไรก็ตาม ติดต่อ hand-to-hand และมือสู่พื้นผิวการมือดูจะสำคัญมากกว่าส่งผ่านโรง [24] ไวรัสอาจอยู่รอดได้นานในสภาพแวดล้อม (กว่า 18 ชั่วโมงสำหรับ rhinoviruses) และสามารถรับมือของคน และถูกนำไปใช้ตาหรือติดเชื้อเกิดขึ้นที่จมูกของพวกเขาในเวลาต่อมา [23] ส่งอนามัยทั่วไป ในสถานรับเลี้ยงเด็ก และโรงเรียนเนื่องจากใกล้ชิดเด็กมากด้วยภูมิคุ้มกันน้อย และมักไม่ได้ [25] เหล่านี้ติดเชื้อแล้วนำหน้าแรกกับสมาชิกอื่นของครอบครัว ไม่มี [25] ในการพิสูจน์ว่าที่ recirculated อากาศระหว่างการบินพาณิชย์เป็นวิธีการส่ง [23] อย่างไรก็ตาม คนนั่งใกล้ปรากฏที่มีความเสี่ยงมากขึ้น [24] colds rhinovirus-เกิดติดเชื้อมากที่สุดในช่วงสามวันแรกอาการ พวกเขามีมากน้อยติดเชื้อภายหลัง [26]สภาพอากาศทฤษฎีพื้นบ้านดั้งเดิมได้ว่า หวัดสามารถถูก "จับ" โดยเปิดรับแสงนานอากาศเย็นเช่นฝนหรือหนาวเงื่อนไข ซึ่งเป็นวิธีการที่โรคนี้มีชื่อ [27] ของไวรัสที่ทำให้เกิดการ colds ร่วมได้ฤดูกาล การเกิดบ่อยในช่วงอากาศเย็น หรือฝน [28] สาเหตุที่ seasonality ไม่เห็นตัดสินได้ [29] นี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากเย็นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายใจ ตอบสนองภูมิคุ้มกันลดลง [30], [31] และความชื้นต่ำเพิ่มราคาส่งไวรัส อาจ เพราะอากาศแห้งให้หยดไวรัสขนาดเล็กกระจายอยู่ห่าง และอยู่ในอากาศอีกด้วย [32] ก็อาจเกิดจากปัจจัยทางสังคม เช่นคนที่ใช้เวลามากในร่ม ใกล้ผู้, [30] และโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่โรงเรียน [25] [29] มีถกเถียงบางผ่านบทบาทของอุณหภูมิร่างกายต่ำเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับหวัด ส่วนใหญ่หลักฐานแนะนำว่า มันอาจทำให้ติดเชื้อง่ายมาก [31]อื่น ๆภูมิคุ้มกันฝูง สร้างขึ้นจากก่อนหน้านี้สัมผัสกับไวรัสเย็น เล่นมีบทบาทสำคัญในการจำกัดการแพร่กระจายไวรัส เห็น มีประชากรที่อายุน้อยที่มีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น [33] จนอักเสบยังเป็นปัจจัยเสี่ยงโรค [33] [34] ปไม่เพียงพอและขาดสารอาหารได้สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่มากขึ้นของการพัฒนาเชื้อต่อ rhinovirus แสง นี้เชื่อกันว่าเป็น เพราะผลของการอักเสบ [35] [36] อาหารเต้านมลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินหายใจต่ำในโรคอื่น ๆ [37] และเฉียบพลัน otitis media และขอแนะนำว่า เต้านมอาหารดำเนินต่อไปเมื่อทารกมีหวัด [38] ในโลกพัฒนา อาหารเต้านมอย่างไรก็ตามได้ป้องกันกับหวัดใน และ ของตัวเอง [39]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ส่งไวรัสไข้หวัดมักจะส่งผ่านทางละอองในอากาศ (ละออง) การสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูกที่ติดเชื้อหรือ fomites (วัตถุปนเปื้อน) [4] [23] ซึ่งเส้นทางนี้มีความสำคัญหลักยังไม่ได้รับการพิจารณา.
แต่มือไปมือและมือไปพื้นสู่มือติดต่อดูเหมือนว่ามีความสำคัญมากกว่าการส่งผ่านทางละออง. [24] ไวรัสอาจอยู่รอดได้เป็นระยะเวลานานในสิ่งแวดล้อม (มากกว่า 18 ชั่วโมงสำหรับ rhinoviruses) และสามารถ หยิบขึ้นมาด้วยมือของผู้คนและต่อมาได้ดำเนินการตาหรือจมูกของพวกเขาที่ติดเชื้อเกิดขึ้น. [23] ส่งเป็นเรื่องธรรมดาในการรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนที่อยู่ใกล้เด็กหลายคนที่มีภูมิต้านทานน้อยและสุขอนามัยที่ดีบ่อย. [25] การติดเชื้อเหล่านี้แล้ว นำบ้านที่สมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัว. [25] ไม่มีหลักฐานว่าหมุนเวียนอากาศในระหว่างการบินเชิงพาณิชย์เป็นวิธีการส่งเป็น. [23] แต่คนนั่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงปรากฏความเสี่ยงมากขึ้น. [24] หวัด Rhinovirus ที่เกิดจาก มีการติดเชื้อมากที่สุดในช่วงสามวันแรกของอาการ; พวกเขามีมากน้อยติดเชื้อหลังจากนั้น. [26] สภาพอากาศทฤษฎีพื้นบ้านดั้งเดิมคือว่าเย็นสามารถ "จับ" จากการสัมผัสเป็นเวลานานถึงสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นฝนหรือฤดูหนาวซึ่งเป็นวิธีการที่โรคมีชื่อ. [27] บาง ของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดที่พบบ่อยมีตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นในช่วงที่อากาศเย็นหรือเปียก. [28] เหตุผลสำหรับฤดูกาลที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างแน่ชัด. [29] นี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ [30] ลดลงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน [31] และความชื้นต่ำเพิ่มอัตราการส่งไวรัสอาจจะเป็นเพราะอากาศแห้งช่วยให้หยดไวรัสขนาดเล็กที่จะแยกย้ายกันไปไกลและอยู่ในอากาศอีกต่อไป. [32] มันอาจจะเป็นเพราะปัจจัยทางสังคมเช่น . เป็นคนที่ใช้เวลามากขึ้นในบ้านที่อยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ, [30] และโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่โรงเรียน [25] [29] มีการโต้เถียงกับบทบาทของอุณหภูมิของร่างกายต่ำเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคไข้หวัดคือ; ส่วนใหญ่ของหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามันอาจจะส่งผลให้เกิดความอ่อนแอมากขึ้นเพื่อการติดเชื้อ. [31] อื่น ๆกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจากการสัมผัสก่อนที่ไวรัสเย็นมีบทบาทสำคัญในการ จำกัด ไวรัสแพร่กระจายเท่าที่เห็นมีประชากรที่มีอายุน้อยกว่าที่มีอัตราที่มากขึ้นของ . เชื้อทางเดินหายใจ [33] แย่ทำงานของระบบภูมิคุ้มกันยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค [33] [34] การนอนหลับไม่เพียงพอและขาดสารอาหารได้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมากขึ้นในการพัฒนาต่อไปนี้การสัมผัสเชื้อ rhinovirus. นี้เชื่อว่าจะเกิดจากผลกระทบของพวกเขาในการทำงานของภูมิคุ้มกัน. [35] [36] นมลดความเสี่ยงของหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันและลดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในหมู่โรคอื่น ๆ [37] และก็ขอแนะนำว่าให้นมอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการ ทารกมีความหนาวเย็น. [38] ในการให้นมบุตรโลกที่พัฒนา แต่อาจจะไม่ได้รับการป้องกันโรคไข้หวัดในตัวของมันเอง. [39]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การส่งไวรัสไข้หวัด
โดยส่งผ่านทางอากาศหยด ( aerosols ) ติดต่อโดยตรง กับการหลั่งจมูกติดเชื้อ หรือติด ( วัตถุปนเปื้อน ) . [ 4 ] [ 23 ] ซึ่งเส้นทางเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ได้รับการพิจารณา อย่างไรก็ตาม มือมือและพื้นผิวที่จะติดต่อมือดูเหมือนความสำคัญมากกว่าการส่งผ่านละอองลอย .[ 24 ] ไวรัสอาจอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อม ( กว่า 18 ชั่วโมง ไรโนไวรัส ) และสามารถเลือกขึ้นโดยมือคน และต่อมาได้นำของตาหรือจมูกที่ติดเชื้อเกิดขึ้น . [ 23 ] ส่งทั่วไปในโรงเรียนและที่โรงเรียนเนื่องจากความใกล้ชิดของเด็กหลายคนที่มีภูมิต้านทานน้อย และสุขอนามัย จนบ่อย[ 25 ] เชื้อเหล่านี้จะนำบ้านกับสมาชิกคนอื่น ๆของครอบครัว [ 25 ] ไม่มีหลักฐาน recirculated air ในระหว่างเที่ยวบินเชิงพาณิชย์เป็นวิธีการของการส่งผ่าน [ 23 ] แต่คนนั่งใกล้ปรากฏความเสี่ยงมากขึ้น [ 24 ] ไรนอไวรัสที่เกิดจากโรคหวัดจะติดเชื้อมากที่สุดในช่วง 3 วันแรก อาการ ; พวกเขาจะมากน้อยติดเชื้อภายหลัง [ 26 ]


อากาศทฤษฎีแบบพื้นบ้านที่เย็นสามารถ " จับ " โดยเปิดรับแสงนาน เช่น ฝนตก หรือ อากาศหนาวในฤดูหนาว ซึ่งเป็นวิธีการที่โรคมีชื่อ [ 27 ] บางส่วนของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดที่พบตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงอากาศเย็นหรือเปียก [ 28 ] เหตุผล สำหรับฤดูกาลยังไม่ได้สรุปไว้[ 29 ] นี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายใจเย็น [ 30 ] ลดลงภูมิคุ้มกัน [ 31 ] และความชื้นต่ำ การเพิ่มอัตราการส่งไวรัส , บางทีเนื่องจากอากาศแห้งเล็ก ๆหยดกระจายไวรัสให้ไกลและอยู่ในอากาศได้นานกว่า [ 32 ] มันอาจจะเกิดจากปัจจัยทางสังคม เช่น ผู้คนใช้เวลามากขึ้นในบ้าน ใกล้คนที่ติดเชื้อ[ 30 ] และโดยเฉพาะเด็ก ๆที่โรงเรียน [ 25 ] [ 29 ] มีการโต้เถียงผ่านบทบาทของร่างกายอุณหภูมิต่ำเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคไข้หวัด ; ส่วนใหญ่ของหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามันอาจส่งผลในความไวมากขึ้นการติดเชื้อ [ 31 ]


ตัวอื่นๆ ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจากเดิม การสัมผัสกับไวรัสเย็น มีบทบาทสำคัญในการจำกัดไวรัสแพร่กระจายเท่าที่เห็น มีประชากรเด็กที่มีอัตราสูงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ [ 33 ] ยากจนภูมิคุ้มกันฟังก์ชันยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรค [ 33 ] [ 34 ] ไม่เพียงพอ การนอนหลับ และภาวะทุพโภชนาการมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่มากขึ้นของการพัฒนาการติดเชื้อต่อไรโนไวรัสแสง ; นี้เชื่อว่าเกิดจากผลกระทบต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน[ 3 ] [ 36 ] เต้านมให้อาหารลดความเสี่ยงของโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน และติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างของโรคอื่น ๆ [ 37 ] และขอแนะนำให้กินนมได้ต่อเมื่อทารกเป็นหวัด [ 38 ] ในประเทศที่พัฒนาแล้วให้อาหารเต้านมอาจจะไม่ แต่จะป้องกันไข้หวัดในและของตัวเอง [ 39 ]