A theoretical understanding of the

A theoretical understanding of the slow gradualism of gains in reading is an important consideration in taking practical steps to¬ward implementing the practical recommendations of this book. Important test data on reading gains might not become available until a few years after these recommendations are put into practice. After three to five years, however, the gains predicted from theory (and from existing data) will be dramatic. Moreover, until a better theory of optimal reading instruction comes along, these reading gains should be considered the fastest gains that a school program can achieve. In general, as schooling proceeds on its slow, cumulative way, we continually need to rely on good theory - not on isolated pieces of data but rather on the largest possible array of data, which is what good theory by definition embraces.
The two ideologies or philosophies that dominate in the American educational world, which tend to corrupt scientific inferences, are naturalism and formalism. Naturalism is the notion that learning can and should be natural and that any unnatural or artificial approach to school learning should be rejected or deemphasized. This point of view favors many of the methods that are currently most praised and admired in early schooling — "hands-on learning," "developmentally appropriate practice," and the natural, whole-language method of learning to read. By contrast, methods that are unnatural are usually deplored, including "drill," "rote learning," and the analytical, phonics approach to teaching early reading. We call such naturalism an ideology rather than a theory because it is more a value system (based historically on the European Romantic movement) than an empirically based idea. If we adopt this ideology, we know in advance that the natural is good and the artificial is bad. We don’t need analysis and evidence; we are certain, quite apart from evidence, that children’s education will be more productive if it is more natural. If the data do not show this, it is because we are using the wrong kinds of data, such as scores on standardized tests. That is naturalism.
Formalism is the ideology that what counts in education is not the learning of things but rather learning how to learn. What counts is not gaining mere facts but gaining formal skills. Along with naturalism, it shares an antipathy to mere facts and to the piling up of in¬formation. The facts, it says, are always changing. Children need to learn how to understand and interpret any new facts that come along. The skills that children need to learn in school are not how to follow mindless procedures but rather how to understand what lies behind the procedures so they can apply them to new situations. In reading, instead of learning a lot of factual subject matter, which is potentially infinite, the child needs to learn strategies for dealing with any texts, such as "questioning the author," "classifying," and other "critical thinking" skills.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ความเข้าใจทฤษฎีของ gradualism ช้าของกำไรในการอ่านเป็นการพิจารณาที่สำคัญในการ to¬ward ขั้นตอนการปฏิบัติตามคำแนะนำการปฏิบัติของหนังสือเล่มนี้ ข้อมูลทดสอบที่สำคัญอ่านกำไรอาจไม่พร้อมใช้งานจนกระทั่งไม่กี่ปีหลังจากคำแนะนำเหล่านี้จะนำสู่การปฏิบัติ หลังสามถึงห้าปี อย่างไรก็ตาม ได้รับการทำนาย จากทฤษฎี (และ จากข้อมูลที่มีอยู่) จะได้ละคร นอกจากนี้ จนกระทั่งทฤษฎีที่ดีสอนอ่านที่เหมาะสมที่สุดมาพร้อม กำไรอ่านเหล่านี้ควรพิจารณากำไรเร็วที่สุดที่โปรแกรมโรงเรียนสามารถบรรลุ ทั่วไป เป็นประถมดำเนินมาช้า สะสม เราอย่างต่อเนื่องได้เชื่อ ในทฤษฎีที่ดี- ไม่แยกชิ้นส่วนของข้อมูล แต่ค่อนข้าง บนอาร์เรย์สามารถที่ใหญ่ที่สุดของข้อมูล ซึ่งเป็นนำทฤษฎีอะไรดีตามนิยาม2 เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์หรือปรัชญาที่ศึกษาโลกอเมริกัน ซึ่งมักจะเสียหาย inferences ทางวิทยาศาสตร์ มี naturalism และ formalism Naturalism คือ แนวคิดที่เรียนรู้สามารถ และควรจะเป็นธรรมชาติ และให้วิธีการธรรมชาติ หรือเทียมไปโรงเรียนเรียนควรปฏิเสธ หรือ deemphasized แง่มุมนี้ให้ความสำคัญของวิธีการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ยกย่อง และชื่นชมในช่วงประถม — "เพื่อเรียนรู้ "สม developmentally ", และการฝึกอบรมทั้งภาษาธรรมชาติ วิธีการเรียนรู้การอ่าน โดยคมชัด วิธีที่ธรรมชาติกำลังมักจะเสียใจมากต่อ รวมทั้ง "เจาะลึก "ย้ำ และวิธีการซึ่งเชิงวิเคราะห์ การสอนอ่านก่อน เราเรียก naturalism เช่นอุดมการณ์การแทนที่เป็นทฤษฎีได้มากกว่าค่าระบบ (ตามประวัติการเคลื่อนไหวของยุโรปโรแมนติก) กว่าคิด empirically ตาม ถ้าเรานำอุดมการณ์นี้ เรารู้ว่าล่วงหน้าว่า ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดี และการประดิษฐ์นั้นไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์และหลักฐาน เราได้บางอย่าง ค่อนข้างนอกเหนือจากหลักฐาน ที่ว่า การศึกษาจะมีประสิทธิผลมากขึ้นถ้าเป็นธรรมชาติมากขึ้น ถ้าข้อมูลแสดงนี้ อาจเป็น เพราะเราใช้ชนิดที่ไม่ถูกต้องของข้อมูล เช่นคะแนนการทดสอบตามมาตรฐาน นั่นคือ naturalismFormalism เป็นอุดมการณ์ที่ว่า สิ่งที่นับในศึกษาไม่เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ แต่แทนที่จะ เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ สิ่งที่นับไม่ได้ข้อเท็จจริงเพียง แต่ได้รับทักษะอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ naturalism หุ้น antipathy เป็นเพียงข้อเท็จจริง และค้างค่าของ in¬formation ข้อเท็จจริง กล่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เด็กต้องเรียนรู้วิธีการทำความเข้าใจ และตีความข้อเท็จจริงใด ๆ ใหม่ที่มาพร้อม ทักษะที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ในโรงเรียนไม่มีวิธีการปฏิบัติตามขั้นตอน mindless แต่ว่าค่อนข้างเข้าใจอะไรอยู่เบื้องหลังกระบวนการเพื่อให้พวกเขาสามารถนำไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ ในการอ่าน แทนที่จะเรียนรู้มากเรื่องหัวข้อเรื่อง อนันต์อาจ เด็กต้องเรียนรู้กลยุทธ์ในการจัดการกับข้อความ เช่น "สงสัยผู้เขียน "จัดประเภท" และอื่น ๆ "ความสำคัญ "ทักษะการคิด

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความเข้าใจทางทฤษฎีของค่อยเป็นค่อยไปช้าของกำไรในการอ่านคือการพิจารณาที่สำคัญในการทำตามขั้นตอนการปฏิบัติto¬wardการดำเนินการตามคำแนะนำการปฏิบัติของหนังสือเล่มนี้ การทดสอบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับกำไรที่อ่านอาจจะไม่กลายเป็นใช้ได้จนไม่กี่ปีหลังจากที่คำแนะนำเหล่านี้จะนำไปสู่การปฏิบัติ หลังจากที่ 3-5 ปี แต่กำไรที่คาดการณ์จากทฤษฎี (และจากข้อมูลที่มีอยู่) จะเป็นอย่างมาก นอกจากนี้จนกว่าจะมีทฤษฎีที่ดีกว่าการเรียนการสอนการอ่านที่ดีที่สุดมาพร้อมกำไรอ่านเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณากำไรที่เร็วที่สุดว่าโปรแกรมโรงเรียนสามารถบรรลุ โดยทั่วไปเช่นการศึกษาการดำเนินการของมันช้าวิธีสะสมเราอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องพึ่งพาทฤษฎีที่ดี - ไม่ได้อยู่ในชิ้นส่วนแยกของข้อมูล แต่ในอาร์เรย์ที่เป็นไปได้มากที่สุดของข้อมูลซึ่งเป็นสิ่งที่ทฤษฎีที่ดีโดยมีความหมายอ้อมกอด.
ทั้งสองอุดมการณ์ หรือปรัชญาที่ครองในโลกการศึกษาชาวอเมริกันซึ่งมีแนวโน้มที่จะหาข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์เสียหายเป็นธรรมชาติและเป็นพิธี นิยมคือความคิดที่ว่าการเรียนรู้สามารถและควรจะเป็นไปตามธรรมชาติและวิธีการใด ๆ ที่ผิดธรรมชาติหรือเทียมเพื่อการเรียนรู้โรงเรียนควรจะปฏิเสธหรือ deemphasized มุมมองนี้บุญหลายวิธีการที่กำลังการยกย่องมากที่สุดและได้รับการยกย่องในการศึกษาในช่วงต้น - "มือในการเรียนรู้" "การปฏิบัติที่เหมาะสมในการพัฒนา" และธรรมชาติวิธีทั้งภาษาของการเรียนรู้ที่จะอ่าน ในทางตรงกันข้ามวิธีการที่ผิดธรรมชาติจะรู้สึกเสียดายที่มักจะรวมถึง "เจาะ", "ท่องจำ" และการวิเคราะห์การออกเสียงแนวทางการเรียนการสอนการอ่านในช่วงต้น เราขอเรียกร้องดังกล่าวนิยมอุดมการณ์มากกว่าทฤษฎีเพราะมันเป็นระบบค่าได้ (ตามประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวยุโรปโรแมนติก) มากกว่าความคิดตามสังเกตุ ถ้าเรานำมาใช้อุดมการณ์นี้เรารู้ล่วงหน้าว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีและประดิษฐ์ไม่ดี เราไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์และหลักฐาน; เรามีบางอย่างที่ค่อนข้างแตกต่างจากหลักฐานว่าการศึกษาของเด็กจะมีประสิทธิผลมากขึ้นถ้ามันเป็นธรรมชาติมากขึ้น ถ้าข้อมูลไม่แสดงนี้ก็เป็นเพราะเรากำลังใช้ชนิดที่ไม่ถูกต้องของข้อมูลเช่นคะแนนในการทดสอบมาตรฐาน นั่นคือธรรมชาติ.
เจ้าระเบียบเป็นอุดมการณ์ที่ว่าสิ่งที่นับในการศึกษาไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ แต่การเรียนรู้วิธีที่จะเรียนรู้ สิ่งที่นับไม่ได้ดึงดูดข้อเท็จจริงเพียง แต่ดึงดูดทักษะอย่างเป็นทางการ พร้อมกับธรรมชาติหุ้นมันเกลียดชังกับข้อเท็จจริงเพียงและไปเสาเข็มขึ้นจากin¬formation ข้อเท็จจริงก็บอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เด็กต้องเรียนรู้วิธีที่จะเข้าใจและตีความข้อเท็จจริงใหม่ ๆ ที่มาพร้อม ทักษะที่เด็กต้องเรียนรู้ในโรงเรียนไม่ได้วิธีการที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนไม่สนใจ แต่วิธีการที่จะเข้าใจในสิ่งที่อยู่เบื้องหลังขั้นตอนเพื่อให้สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ ในการอ่านแทนการเรียนรู้จำนวนมากของเรื่องจริงที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่อาจเกิดขึ้นเด็กจะต้องเรียนรู้กลยุทธ์ในการจัดการกับข้อความใด ๆ เช่น "ตั้งคำถามผู้เขียน", "การจำแนกประเภท" และอื่น ๆ "การคิดเชิงวิพากษ์" ทักษะ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ความเข้าใจทางทฤษฎีของบทเพลงสวดในศาสนาคริสต์ช้าของกำไรในการอ่าน คือ การพิจารณาที่สำคัญในการขั้นตอนปฏิบัติเพื่อ¬วอร์ดการนำปฏิบัติคำแนะนำของหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญข้อมูลทดสอบการอ่านกำไรอาจจะไม่กลายเป็นใช้ได้ จนกระทั่งไม่กี่ปีหลังจากคำแนะนำเหล่านี้จะถูกใส่ลงในการปฏิบัติ หลังจากที่สามถึงห้าปี อย่างไรก็ตามกำไรที่คาดการณ์จากทฤษฎีและจากข้อมูลที่มีอยู่ ) จะเร้าใจ นอกจากนี้ จนเป็นทฤษฎีที่ดีของการสอนอ่านที่เหมาะสมมา ได้รับการอ่านเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาเร็วที่สุดกำไรที่โรงเรียนสามารถบรรลุ โดยทั่วไปเป็นตน ( ในทางสะสมของช้า ,เรายังคงต้องพึ่งพาทฤษฎีดี ไม่แยกชิ้นของข้อมูล แต่ในที่สุด อาร์เรย์ของข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ทฤษฎีนิยามกันและกัน .
2 อุดมการณ์หรือปรัชญาที่ครองในโลกการศึกษาชาวอเมริกัน ซึ่งมีแนวโน้มจะทุจริตอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบธรรมชาติ และ .จึงได้มีความคิดว่าการเรียนรู้สามารถและควรจะเป็นธรรมชาติและที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือเทียมแนวทางการเรียนรู้ของโรงเรียนควรจะปฏิเสธหรือ deemphasized . มุมมองนี้มีหลายวิธีการที่ปัจจุบันส่วนใหญ่ยกย่องและชื่นชมในต้นปีการศึกษา - การเรียนรู้ภาคปฏิบัติ " , " การปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ และธรรมชาติ วิธีทั้งภาษา การเรียนรู้ที่จะอ่านโดยคมชัด , วิธีการที่ฝืนธรรมชาติมักจะ deplored รวมทั้ง " สว่าน " การท่องจำเรียนรู้ " และวิเคราะห์ในแนวทางสอนการอ่านเร็ว เราเรียกเช่นธรรมชาตินิยมอุดมการณ์มากกว่าทฤษฎีเพราะมันเป็นระบบคุณค่า ( ตามประวัติศาสตร์ในขบวนการโรแมนติกยุโรป ) มากกว่าการใช้ ตามความคิด ถ้าเราใช้แนวคิดนี้เรารู้ล่วงหน้าว่า ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีและเทียมจะแย่ เราก็วิเคราะห์ความต้องการ และหลักฐาน เรามีบางอย่างที่ค่อนข้างแตกต่างจากหลักฐานการศึกษาที่เด็กจะได้มากขึ้น ถ้ามันเป็นธรรมชาติมากขึ้น ถ้าข้อมูลไม่แสดง มันเป็นเพราะเราใช้ผิดประเภทของข้อมูล เช่น คะแนนในการทดสอบมาตรฐาน นั่นคือ
ธรรมชาตินิยมแบบมีอุดมการณ์ที่สิ่งที่สำคัญในการศึกษาไม่ใช่เรียนหลายอย่าง แต่การเรียนรู้วิธีที่จะเรียนรู้ สิ่งที่นับไม่ได้รับข้อเท็จจริง เพียงแต่ดึงดูดทักษะทางการ พร้อมกับธรรมชาติ มันใช้ร่วมกัน ความ เกลียด ชัง เพียงข้อเท็จจริงและซ้อนขึ้นในการสร้าง¬ . ข้อเท็จจริง ว่ามันเปลี่ยนได้เสมอเด็กต้องเรียนรู้วิธีที่จะเข้าใจและตีความข้อเท็จจริงใหม่ใด ๆที่ตามมา ทักษะที่เด็กต้องเรียนรู้ในโรงเรียนไม่ใช่วิธีการตามขั้นตอนที่ไร้เหตุผล แต่วิธีที่จะเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้กับสถานการณ์ใหม่ ในการอ่าน แทนที่จะตั้งเรียนเรื่องข้อเท็จจริง ซึ่งอาจสิ้นสุดเด็กต้องการที่จะเรียนรู้กลยุทธ์การจัดการกับข้อความ เช่น " การเขียน " , " ประเภท " และ " วิจารณญาณ " ทักษะ .