Prakṛti is imagined as a singular e

Prakṛti is imagined as a singular entity (all of nature), but it is manifested in each of us as part of that totality.

By contrast, although Puruṣa represents an encompassing “Spirit,” it appears differently in each person, because each person has a different temperament or “spirit.”

So we can speak in terms of multiple “puruṣas” (each individual person as a manifestation of an encompassing cosmic Puruṣa) (compare to ātman as a manifestation of brahman).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Prakṛti จะคิดเป็นเอนทิตีเอกพจน์ (ทั้งหมดธรรมชาติ), แต่มันเป็นที่ประจักษ์ในเราเป็นส่วนหนึ่งของผลที่แต่ละคนโดยคมชัด ถึงแม้ว่า Puruṣa หมายถึง "วิญญาณ" encompassing ปรากฏแตกต่างกันในแต่ละบุคคล เนื่องจากแต่ละคนมี temperament ต่าง ๆ หรือ "วิญญาณ"ดังนั้นเราสามารถพูดในหลาย "puruṣas" (แต่ละบุคคลเป็นการแสดงของ Puruṣa จักรวาลมี encompassing) (เปรียบเทียบกับ ātman เป็นการ brahman)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

Prakrti เป็นคิดเป็นนิติบุคคลเอกพจน์ (ทั้งหมดของธรรมชาติ) แต่มันเป็นที่ประจักษ์ในเราแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนทั้งสิ้นว่า. ตรงกันข้ามแม้ว่าPuruṣaหมายถึงครอบคลุม "จิตวิญญาณ" ที่ปรากฏแตกต่างกันในแต่ละคนเพราะแต่ละคนมี อารมณ์ที่แตกต่างกันหรือ "จิตวิญญาณ." ดังนั้นเราจึงสามารถพูดในแง่ของหลาย "puruṣas" (แต่ละบุคคลเป็นประกาศของจักรวาลครอบคลุมPuruṣa) (เปรียบเทียบกับ Atman เป็นประกาศของพราหมณ์)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แพรกṛ Ti เป็นจินตนาการ เป็น นิติบุคคล เอกพจน์ ( ธรรมชาติทั้งหมด ) แต่มันเป็นที่ประจักษ์ในเราแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของผล

โดยคมชัดแม้ว่า Puru ṣเป็น " วิญญาณ " หมายถึงครอบคลุมปรากฏแตกต่างกันในแต่ละบุคคล เพราะแต่ละคนก็มีนิสัยที่แตกต่างกัน หรือ “วิญญาณ”

ดังนั้นเราสามารถพูดในแง่ของหลาย " Puru ṣ " ( แต่ละคนเป็นภาพสะท้อนของครอบคลุมจักรวาล Puru ṣ ) ( เปรียบเทียบกับอุบาสก tman เป็นเครื่องของพราหมณ์ ) .