ความเชื้อ
กินสุนัข
ชาวจีนเอาเนื้อสุนัขมาตุ๋นยาสมุนไพร เชื่อว่าบำรุงร่างกาย และเนื้อหมาต้มแกงเต่าเป็นอาหารเก่าแก่
ชาวเวียดนามนิยมทานเนื้อสุนัข โดยเฉพาะฤดูหนาวเชื่อว่าช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งกรุงฮานอยมีภัตตาคารอาหารเนื้อสุนัขจำนวนมาก และตลาดค้าเนื้อหมาที่ใหญ่ที่สุด
ชื่อว่าตลาดบั๊กฮา
ชาวเกาหลีใต้ที่รับประทานเนื้อหมาเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น โดยเฉพาะหมาดำ เพราะเชื่อว่าช่วยทำให้ผิวสวย
ชาวลาวชอบนำมาปิ้งคล้ายหมาหัน ปรุงพร้อมเครื่องใน รับประทานกับเครื่องเคียงจำพวก แกง ส้มตำ ข้าวเหนียว มีมากที่หลวงพระบางขึ้นไปทางเหนือ
ชาวไนจีเรียและชาวอัฟริกา ที่เชื่อว่าเนื้อสุนัขมีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะมาลาเรีย
กินดิน
ชาวอินโดนีเซียกินดินเพื่อสุขภาพ
ในเมืองตูบัน (Tuban) ประเทศอินโดนีเซีย แหล่งผลิตขนมดินที่มีชื่อว่า แอมโป (ampo)ขนมท้องถิ่นชั้นเลิศของคนอินโด ที่ทำจากดินธรรมชาติล้วนๆ ที่ได้จากท้องนาข้าว
สำหรับการทำขนมดิน หรือ "แอมโป" เป็นสิ่งที่ทำสืบทอดกันมาของหมู่บ้านรุ่นต่อรุ่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำแอมโปคือ คุณภาพของดิน
การทำแอมโปนั้น หลังจากเก็บดินมาได้แล้ว ก็จะนำมาดินมาตีจนแข็งเป็นก้อนสี่เหลี่ยม จากนั้นขูดเนื้อดินให้ม้วนเป็นแท่งด้วยไม้ไผ่บางๆ [คล้ายๆขนมทองม้วนบ้านเรา]แล้วนำดินที่ม้วนเป็นแท่งไปอบรมควันในหม้อดินเผาขนาดใหญ่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีจากนั้นแอมโปขนมดินท้องนาก็พร้อมเสริฟ
ส่วนรสชาติ และสรรพคุณของแอมโป รสชาติของขนมดินนี้อร่อยคล้ายกับกินครีม ช่วยให้สบายท้อง และหากหญิงมีครรภ์ได้ลิ้มลองขนมดินที่ว่า เด็กในครรภ์จะมีสุขภาพผิวดี
ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานจากทางการแพทย์เกี่ยวกับรับประทานดินดังกล่าวจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าหากบริโภคเข้าไปแล้วจะได้ผลดีจริงตามที่คนท้องถิ่นกล่าวอ้างจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงยังคงเป็นความเชื่อของคนท้องถิ่นตามแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
คนเชียงใหม่กินดิน
เรียกว่า “อิด หรือ อิบ”ดินที่นำมากินกันนั้น ต้องเลือกดินเหนียวที่อยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 2 เมตร
อาจได้จากการขุดบ่อน้ำเมื่อได้ดินมาแล้ว ต้องหั่นเป็นแผ่นบางๆขนาดประมาณฝ่ามือ นำไปผึ่งให้แห้ง
หรือเก็บไว้บน “ข่า” คือแคร่ไม้ไผ่ที่แขวนอยู่เหนือเตาไฟของบ้านแบบโบราณ
ดินจะมีกลิ่นหอมน่ากิน รสชาดออกมันๆ คนสมัยก่อน บางคนถึงกับติดกินดิน เหมือนคนติดบุหรี่ หรือเมี่ยง
เรียกว่าอาการ “ติดอิด หรือติดอิบ” ปัจจุบันร่องรอยของคำนี้ยังคงใช้กันอยู่ในภาษาเชียงใหม่
ในพงศาวดาร หรือนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งก็กล่าวถึง พระมเหสีที่ทรงพระครรภ์ แล้วอยากเสวยดินจากกลางเมืองของศัตรู
การกินดินเป็นวิถีปฏิบัติของคนบางถิ่นที่มีมาแต่โบราณ ถือว่าเป็นของขบเคี้ยวเล่น
ในวงการแพทย์ก็ใช้ดินในการบรรเทาพิษในคนใข้ที่ได้รับสารพิษพวกยาฆ่าหญ้า ดินที่ใช้คือคาโอลิไนท์
พิธีกรรม
งานศพห้ามเอาพวกของเปรี้ยวไป (เพราะอาจจะทำให้เส้นเอ็นของศพหดตัวได้) หรือห้ามกินแกงหยวกกล้วย (เพราะหยวกกล้วยจะดูดซับกลิ่นศพได้ดี)
งานแต่งงาน มักจะมีแกงวุ้นเส้น หรือขนมหวานที่มีชื่อเป็นมงคลต่าง ๆ
กินผัก
1.หญิงตั้งครรภ์
ข้อห้ามได้แก่ ห้ามกินบอน จะทำให้สายรกเปื่อย ห้ามกินผักแว่นจะทำให้รกพันคอเด็ก ห้ามกินกล้วยจี่ จะทำให้รกติด เป็นต้น ข้อห้ามเหล่านี้ถูกอ้างว่าจะมีผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ทั้งสิ้น
หากจะพิจารณาถึงผลโดยตรงต่อเด็กแล้วอาจจะเป็นไปไม่ได้ ผลที่จริงแล้วเกิดกับแม่ต่างหาก เช่น บอนหากทำไม่ถูกวิธีจะทำให้คันปาก ผักแว่นหากทำไม่สะอาด อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย เป็นต้น
2.หญิงหลังคลอด
ห้ามกินผักเย็น เช่น แตงทุกชนิด ห้ามกินผักหวาน ผักกาด ชะอม หน่อไม้ ผักเลียบ พริกด้วย ผักพวกนี้ จะทำให้เกิดอาการเจ็บท้องทั้งแม่และลูก
ผักที่แนะนำให้กิน ได้แก่ ปลีกล้วย ผักตำลึง ขนุนอ่อน บัวบก ไพล เพาะจะช่วยให้น้ำนมมาก และไพลช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
3.ผู้มีคาถาอาคม
กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะมีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการกินอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นข้อห้าม โดยจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังว่า พืชผักเหล่านี้จะทำให้คาถาเสื่อมลง พืชผักที่ห้ามกินคือ
มะขามป้อมอันเป็นพืชที่อยู่ในตำนานเรื่อง ทรพี ทรพา จากตำนานนี้ได้ถูกนำมาเป็นข้อห้ามของคนที่มีคาถาที่จะไม่กินมะขามป้อม
ในขณะเดียวกันจะนิยมใช้ส้มป่อยมาใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การล้าง เสนียดจัญไร การนำมาใช้สระหัว เป็นต้น สำหรับผักที่ห้ามกินนั้น ได้แก่ น้ำเต้าฟักเขียว และโหระพา
โดยถือว่าผักเหล่านี้กินแล้วทำให้อ่อนแรงลง คาถาอาคมเสื่อม ซึ่งหมอคนเมืองคนหนึ่งเล่าว่า “น้ำเต้าเป็นของเย็น กินแล้วคาถาจะเสื่อมไม่ขึ้นมันแพ้กันฟักเขียวกินแล้วจะอ่อนแรง ช้างที่ตกมันเอาฟักหัว เขียวโยนให้กินจะอ่อนกำลังลงได้”
นอกจากข้อห้ามเหล่านี้แล้ว คนเหล่านี้จะไม่กินอาหารในงานศพ นอกจากนี้จะเป็นเวลาหลังจากเผาศพเสร็จแล้วถึงกินได้โดยถือว่ากินของผี ผีจะข่มเอาได้ ความเชื่อนี้ยังมีอยู่เพราะกลุ่มหมอพื้นบ้านต่างๆ ยังคงยึดมั่นกับความเชื่อเหล่านี้จริงๆ