๓.ความคิดทางการเมืองกรีกในสมัยของโซลอน
ยุคใหม่ของกรีกเริ่มในสมัยของโซลอน ซึ่งถือว่าเป็นผู้วางรากฐานประชาธิปไตยของกรีก ในระยะนี้ กรีกมีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมมาก คือ ชนชั้นเศรษฐีมีฐานะร่ำรวยมาก และชาวนายากจนลงทุกที เกิดการกดขี่ขูดรีดค่าจ้างแรงงานอย่างหนัก ชนชั้นที่ยากจนได้เลือกโซลอน ซึ่งมาจากชนชั้นพ่อค้าที่มั่งคั่งขึ้นเป็นผู้นำ เพราะเห็นความสามารถเมื่อครั้งที่ปลุกใจชาวเอเธนส์ยึดเกาะซาลามิส (Salamis) คืนจากเมการา (Megara) ได้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอาร์ดอน มีอำนาจตรากฎหมาย โซลอนมองเห็นว่า หากไม่แก้ปัญหาฐานะของคนยากจนแล้ว ก็จะเกิดปัญหาแตกแยกยิ่งขึ้นภายในนครรัฐ จึงเริ่มการปรับปรุงครั้งใหญ่ในด้านสังคมและการเมือง ซึ่งทำให้ชนชั้นที่ยากจนมีสิทธิต่าง ๆ มากขึ้น และวางรากฐานประชาธิปไตย โดยการจัดตั้งศาลยุติธรรม เรียกว่า เฮเลีย (Heliaea) และสภาสี่ร้อย (Council of Four Hundred) ขึ้น การปฏิรูปของโซลอนนี้ นับว่าเป็นการเน้นถึงแนวคิดในเรื่อง ความเสมอภาค (Equality) เป็นการจำกัดอำนาจทางการเมืองของคนรวย ซึ่งเท่ากับถือว่าความมั่งคั่งมิใช่ที่มาของอำนาจทางการเมือง และรัฐมีหน้าที่จัดการในเรื่องทรัพย์สิน มิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันในด้านฐานะจนเกินไป ความเสมอภาคทั้งทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ จึงเป็นแนวความคิดสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปฏิรูปครั้งนี้ นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นแนวคิดทางรัฐจริยศาสตร์ที่ว่า รัฐมีหน้าที่คุ้มครองคนยากจนและอ่อนแอให้พ้นจากการกดขี่ของคนที่ร่ำรวยและ แข็งแรงกว่า การปฏิรูปนี้มิได้ทำไปตามอำเภอใจ แต่ทำโดยการออกกฎหมาย
ใน ระยะเดียวกันนี้ แนวความคิดอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมิใช่การปฏิรูปทางด้านตัวระบบการเมืองและสังคม แต่เป็นการปลูกฝังหลักศีลธรรมลงในจิตใจคน ก็คือ คำสอนแห่งเดลฟี่ (Delphi) กล่าวคือ ในราว ๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เดลฟี่ได้กลายเป็นรัฐศักดิ์สิทธิ์หรือรัฐศาสนา และพวกนักบวชได้สอนศีลธรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแนวทางในจริยศาสตร์และกฎหมายกรีก คำสอนดังกล่าวได้แก่ หลักการรู้จักประมาณ รู้จักความดี และการถือว่าทุกสิ่งมีขอบเขตจำกัด ซึ่งต่อมาความคิดนี้ ปรากฏในคำสอนของพวกไพธากอรัส เรื่อง ความจำกัด (Limit) และปรากฎในคำสอน เรื่อง ทางสายกลาง (Mean) ของอริสโตเติล นักปราชญ์คนสำคัญของกรีกโบราณ
๔.ความคิดทางการเมืองกรีกในสมัยไพธากอรัส
คำสอนแบบเดลฟี่นั้นมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตชาวกรีก โดยเฉพาะเชื้อสายดอเรียน (Dorian) นครรัฐที่สำคัญที่สุดของกรีกเผ่านี้ ได้แก่ นครรัฐสปาร์ตา (sparta) นครรัฐนี้รับอิทธิพลคำสอนแบบเดลฟี่มาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมาก เช่น การไม่ให้ความสำคัญแก่ความมั่งคั่ง การเน้นกฎเกณฑ์และระเบียบวินัย ซึ่งเป็นเครื่องจำกัดเสรีภาพของมนุษย์ แต่ในดินแดนกรีกบนผืนแผ่นดินใหญ่ และบนฝั่งไอโอเนียมีลักษณะเป็นสังคมเมืองมาตั้งแต่แรก เหตุผลและความพอใจต่อความสุขทางวัตถุมีมาโดยตลอด มิได้เป็นสังคมแบบเผ่า มีความเจริญ มีเสรีภาพทั้งทางปัญญาและวัตถุ ที่รัฐแถบไอโอเนียนั้น คนมีความเจริญทางปัญญาถึงขั้นที่สนใจถามปัญหาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต มนุษย์โดยตรง เช่น เรื่องธรรมชาติของจักรวาล ต้นกำเนิดของจักรวาล ความแปรเปลี่ยน เป็นต้น ส่วนในด้านการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็มีปรัชญาของไพธากอรัส ซึ่งเป็นชางไอโอเนียจากเกาะซามอส เป็นหลักก่อนที่จะถึงคำสอนของโสเกรตีส (Socratis) ชาวเอเธนส์
เรา มักรู้จักไพธากอรัส ในฐานะเป็นนักคณิตศาสตร์ แต่ที่จริงแล้วไพธากอรัสและพวกถือว่าความรู้ทางคณิตศาสตร์ คือ ความรู้เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล และได้ใช้ความรู้นี้อธิบายทั้งเรื่องธรรมชาติ จริยธรรมและการเมือง เช่น ความยุติธรรม คือ จำนวนที่คูณตัวมันเอง หรือกำลังสอง เพราะกำลังสองเป็นเลขจำนวนที่สมดุลที่สุด เนื่องจากประกอบขึ้นเป็นส่วนประกอบที่เท่า ๆ กันทุกส่วน ดังนั้น เมื่อความยุติธรรมเป็นจำนวนยกกำลังสองเพราะเหตุว่าทุกส่วนเท่ากัน รัฐที่ยุติธรรมจึงต้องเป็นรัฐที่ทุกส่วนเท่ากันหรือเสมอภาคกัน นั่นคือ แนวคิดเรื่องความยุติธรรมอธิบายได้ด้วยแนวคิดเรื่องความเสมอภาค เช่น การแบ่งผลประโยชน์จากฝ่ายที่ได้มากไปเพิ่มให้แก่ฝ่ายที่ได้น้อย เป็นต้น นอกจากความเท่าเทียมกันแล้ว เราจะเห็นว่า ความยุติธรรมในแง่นี้เกิดจากการปรับ ซึ่งเพลโตได้นำความคิดนี้ไปใช้ แต่ไม่ใช่ในลักษณะที่ปรับให้สมาชิกของรัฐทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ปรับให้สมาชิกทุกคนได้สิ่งที่เหมาะสมแก่ธรรมชาติของตน และในเรื่องธรรมชาติของคน เพลโตก็ยังปรับเรื่องการแบ่งคนเป็น ๓ พวก คือ พวกรักปัญญา พวกรักเกียรติ และพวกรักผลประโยชน์ มาจากคำสอนของพวกไพธากอรัสด้วย