2.4 Model of the studyPast empirica

2.4 Model of the study
Past empirical evidence has provided a number of important insights on the inconsistency
of auditors’ judgment performance under different levels of task complexity and
performance incentives (Ashton, 1990; Chang et al., 1997; Libby and Lipe, 1992; Tan et al.,
2002). Based on these empirical studies, we have integrated the effect of effort as a
mediator and task complexity as a moderator on the relationship between performance
incentives on audit judgment performance. This study also builds its conceptual
framework fromthe conceptual reviewpapers ofBonner (1994), Libby and Luft (1993), and
Bonner and Sprinkle (2002). Hence, the effect of performance incentives, effort and task
complexity on audit judgment performance are examined concurrently.
This conceptual framework is based on the principles inspired by Vroom’s (1964)
expectancy theory of force model. The force model asserts that:

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

2.4 รูปแบบการศึกษาหลักฐานประจักษ์ที่ผ่านมาได้ให้จำนวนข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญในการไม่สอดคล้องสอบบัญชีตัดสินประสิทธิภาพการทำงานระดับต่าง ๆ ของความซับซ้อนของงาน และแรงจูงใจประสิทธิภาพ (แอชตัน 1990 ช้างและ al., 1997 รับและหลีเป๊ะ 1992 Tan et al.,2002) ขึ้นอยู่กับผลการศึกษานี้ เราได้รวมผลของความพยายามเป็นการความซับซ้อนของผู้ไกล่เกลี่ยและภารกิจเป็นผู้ดูแลในความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการทำงานแรงจูงใจประสิทธิภาพตัดสินตรวจสอบ การศึกษานี้ยังสร้างแนวความคิดกรอบจากการแนวคิด reviewpapers ofBonner (1994), รับและ Luft (1993), และBonner และโลก (2002) ดังนั้น ผล ของประสิทธิภาพแรงจูงใจ แรงงานความซับซ้อนประสิทธิภาพพิพากษาตรวจสอบจะตรวจสอบพร้อมกรอบแนวคิดนี้เป็นไปตามหลักการบันดาลใจของ Vroom (1964)ทฤษฎีเสถียรภาพรุ่นแรง รุ่นกองทัพยืนยันที่:

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

2.4 รูปแบบการศึกษาที่ผ่านมาหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ให้จำนวนของข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการปฏิบัติงานการตัดสินของผู้สอบบัญชีภายใต้ระดับที่แตกต่างของความซับซ้อนของงานและแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน(แอชตัน 1990; ช้าง, et al, 1997;. ลิบและหลีเป๊ะ, 1992; Tan et al., 2002) จากการศึกษาเชิงประจักษ์เหล่านี้เราได้รวมผลของความพยายามเป็นคนกลางและงานที่ซับซ้อนเป็นผู้ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างผลการดำเนินงานการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานตรวจสอบการตัดสิน การศึกษาครั้งนี้ยังสร้างแนวความคิดของกรอบความคิด fromthe reviewpapers ofBonner (1994) และลิบบี้ลัฟท์ (1993) และบอนเนอร์และโรย(2002) ดังนั้นผลกระทบของแรงจูงใจในการทำงาน, ความพยายามและงานที่ซับซ้อนในการตัดสินผลการดำเนินงานการตรวจสอบมีการตรวจสอบควบคู่กันไป. นี้กรอบความคิดเป็นไปตามหลักการแรงบันดาลใจจากของ Vroom (1964) ทฤษฎีความคาดหวังของรูปแบบการมีผลบังคับใช้ รูปแบบการบังคับอ้างว่า:

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

2.4 รูปแบบการศึกษา
ที่ผ่านมาหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ให้หมายเลขของข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญในลักษณะของการปฏิบัติตามการตัดสินของกรรมการ

งานระดับที่แตกต่างกันของความซับซ้อนและแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ( แอชตัน , 1990 ; ช้าง et al . , 1997 ; ลิบ และ หลีเป๊ะ , 1992 ;
tan et al . , 2002 ) จากการศึกษาเชิงประจักษ์เหล่านี้ เราได้รวมผลของความพยายามเป็น
สื่อกลาง และความซับซ้อนของงานเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
การตรวจสอบ การศึกษานี้ยังสร้างจากแนวคิดของกรอบแนวคิด
reviewpapers ofbonner ( 1994 ) , ลิบ และลุฟท์ ( 1993 ) , และ
บอนเนอร์ และ โรย ( 2002 ) ดังนั้น ผลของแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ความพยายาม และงาน
ความซับซ้อนในการปฏิบัติงานการตรวจสอบตรวจสอบควบคู่กันไป .
กรอบแนวคิดนี้อยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีของวรูม ( 1964 )
2 รุ่นแรง แรงแบบยืนยันที่ :