ยากที่จะปฏิเสธว่าปัจจุบันนี้น้ำชาเขียวได้แพร่หลายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของประเทศไทยเสียแล้ว และไม่มีใครที่ไม่เคยลิ้มลองมัน ไม่ว่าชาเขียวจากญี่ปุ่นแท้ๆหรือแค่ชาที่ดังเพราะการโปรโมท แม้ว่าชาเขียวจะดังในบ้านเรามากขนาดนี้แต่มีคนส่วนน้อยมากที่จะเคยลองชิมชาเขียวต้นตำหรับญี่ปุ่นแท้ๆ และน้อยคนลงไปอีกที่จะรู้จักประวัติความเป็นมาของมัน
วันนี้ทาง anngle จึงนำประวัติคร่าวๆของชาเขียวมาให้อ่านกัน
สมัยก่อนมีพระรูปหนึ่งชื่อเอไซ (えいさい: Eisai) ซึ่งเป็นคนนำชาเข้ามาจากประเทศจีน สมัยนั้นจะมีแต่พระเท่านั้นที่นิยมดื่มกันจนพระเอไซนำไปมอบให้โชกุนได้ลองชิม จึงทำให้ชามีชื่อเสียงโด่งดังและแพร่หลายไปถึงในวัง จนมีการนำไปปลูกนอกเมืองเกียวโต (ขณะนั้นเมืองหลวงคือเกียวโต)
สำหรับชนชั้นสูงสมัยนั้นจะนิยมดื่มชากันในงานเลี้ยงสังสรรค์ โดยมีการดื่มชาก่อนอาหารหลัก และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการเล่นเกมทายชา (ให้ชิมน้ำชาและทายว่าเป็นชาอะไร) จนได้มีการพัฒนาไปเป็นพิธีชงชาสำหรับคนรักการดื่มชา ซึ่งพิธีชงชาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ วาบิชะ (wabicha : わび茶) เป็นพิธีชงชาแบบเรียบง่ายทั้งพิธีและสถานที่ ก่อตั้งโดยพระจากนิกายเซนชื่อว่าทาเกะโนโจโอ (Takeno Jouou : 武野 紹鴎) ต่อมาได้ถูกพระเซนโนะริคิว (Senno Rikyu : 千利休) พัฒนาจนเป็นพิธีแบบในปัจจุบัน ทั้งวางรูปแบบและกำหนดวิธีการชงชาต่างๆยึดหลักที่ว่าต้องเรียบง่ายและจริงใจระหว่างทำพิธี
มีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือนว่า 一期一会 (いちごいちえ:Ichigo ichie) ถือเสมือนว่าทั้งสองเจอกันแค่ครั้งเดียว ต้องให้เกียรติกันและทำให้ดีที่สุด
สำนักที่สืบทอดพิธีชงชาแบบวาบิชะนั้นชื่อว่าอุระเซงเคะ (Urasenke : 裏千家) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น 茶の湯 (Chanoyu) และปัจจุบันคือ 茶道 (Chado)
ส่วนชาที่ชงในพิธีนั้นมีอยู่ 2 แบบ คือ
濃茶 (Koicha) ต้องชงในภาชนะใหญ่ดื่มกันได้หลายคน จึงต้องชงให้มีรสชาติเข้มข้น
薄茶 (Usucha) เป็นการชงในถ้วยเล็กๆเพื่อดื่มคนเดียว ใช้กันทั่วๆไปและสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน เมื่อก่อนเสิร์ฟกับขนมแห้ง (Higashi) แต่ปัจจุบันเสิร์ฟกับขนมสด