Theory of mind is the ability to un

Theory of mind is the ability to understand mental states (intentions, emotions, desires, beliefs), and to predict
one’sownandothers’behaviouronthebasisof thesestates (Premack & Woodruff,1978). Theoryof mindresearch
has traditionally been conducted in children and has identified the key moments of its development using false
belief tasks. The first-order false-belief task evaluates recursive thinking of the first level (i.e. ‘I think that you
think’), which appears around 4 years of age (Wimmer & Perner, 1983); the second-order false-belief task
measures recursive thinking of the second level (i.e. ‘I think that you think that she/he thinks’), which is evident
at around 8 years of age (Perner & Wimmer, 1985). In recent years, there has been increasing interest in theory
of mind abilities beyond childhood, which are investigated through the use of a wider and more variable set of
tasks that differs from the false-belief task (Henry, Phillips, Ruffman, & Bailey, 2013; Miller, 2012). Indeed, studies
of non-infant subjects show that theory of mind is often related to other significant social competences (Filippova
& Astington, 2010; Massaro, Valle, & Marchetti, 2013; Massaro, Valle, & Marchetti, 2014) and that it evolves also

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทฤษฎีของจิตใจคือความสามารถในการเข้าใจจิต (ความตั้งใจอารมณ์ปรารถนาความเชื่อ) และที่จะคาดการณ์
one'sownandothers'behaviouronthebasisof thesestates (พรีแมคและดุจดัง 1978) ทฤษฎี mindresearch
มีประเพณีการดำเนินการในเด็กและมีการระบุช่วงเวลาที่สำคัญของการพัฒนาที่ผิดพลาดใช้
งานเชื่อ สั่งซื้อครั้งแรกงานที่ผิดพลาดเชื่อประเมินความคิดของ recursive ระดับแรก (เช่น 'ผมคิดว่าคุณ
คิดว่า ') ซึ่งจะปรากฏรอบ 4 ปี (Wimmer และ Perner, 1983); ที่สองสั่งงานผิดพลาดเชื่อ
มาตรการคิด recursive ระดับที่สอง (เช่น 'ผมคิดว่าคุณคิดว่าเธอ / เขาคิดว่า') ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัด
ในรอบ 8 ปี (Perner และ Wimmer, 1985) ในปีที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มความสนใจในทฤษฎี
ของความสามารถใจเกินวัยเด็กที่ได้รับการตรวจสอบผ่านการใช้งานของชุดที่กว้างขึ้นและตัวแปรอื่น ๆ ของ
งานที่แตกต่างจากงานที่ผิดพลาดเชื่อ (เฮนรี่ฟิลลิป Ruffman และเบลีย์ 2013; มิลเลอร์, 2012) อันที่จริงการศึกษา
ของอาสาสมัครที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าทารกทฤษฎีของจิตใจมักจะมีความสัมพันธ์กับความสามารถทางสังคมอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ (Filippova
และ Astington 2010; Massaro, วัลและมาร์เค็ต 2013; Massaro, วัลและมาร์เค็ต 2014) และมันวิวัฒนาการ ด้วย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทฤษฎีของจิตใจคือความสามารถในการเข้าใจสภาพจิตใจ ( เจตนา อารมณ์ ความเชื่อ ความต้องการ ) และทำนาย
one'sownandothers'behaviouronthebasisof thesestates ( พรีแมค& Woodruff , 1978 ) ทฤษฎี mindresearch
มีประเพณีปฏิบัติในเด็ก และมีการระบุช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาใช้งานความเชื่อที่ผิด

แรกเชื่อเท็จงานประเมิน วิธีการคิดของระดับแรก ( เช่น ' ฉันคิดว่าคุณ
คิดว่า ' ' ) ซึ่งปรากฏขึ้นรอบอายุ 4 ขวบ ( วิมเมอร์& perner , 1983 ) ; อันดับที่สอง ผิดงาน
เชื่อมาตรการ วิธีการคิดของระดับที่สอง ( เช่น ' ฉันคิดว่าเธอคิดว่าเธอ / เขา คิดว่า ' ) ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัด
ในรอบ 8 ปีของอายุ ( perner &วิมเมอร์ , 1985 )ในปีที่ผ่านมา , ได้มีความสนใจเพิ่มขึ้นในทฤษฎีของจิตใจ ความสามารถเกินวัยเด็ก
ซึ่งได้ศึกษาผ่านการใช้ในวงกว้างและตัวแปรชุด
งานที่แตกต่างจากงานความเชื่อที่ผิด ( เฮนรี่ ฟิลลิปส์ ruffman & Bailey , 2013 ; มิลเลอร์ , 2012 ) แน่นอน , การศึกษา
ไม่ใช่วิชาทารกแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีของจิตใจมักจะเกี่ยวข้องกับทักษะทางสังคมที่สำคัญอื่น ๆ ( filippova
& astington , 2010 ; แมสซาโร Valle , & , มาร์เคตี้ 2013 ; แมสซาโร Valle , & , มาร์เคตี้ ปี 2014 ) และที่มันวิวัฒนาการยัง