Temperature is the most important f

Temperature is the most important factor affecting postharvest life and quality of fresh horticultural crops. Low temperature is needed to reduce metabolic activity, delay ripening and senescence, reduce water loss, prevent or reduce disease and insect activity, and thus maintain postharvest quality and increase postharvest shelf life. Mango fruit usually remain green at temperatures of 28°C or higher and do not ripen when maintained at temperatures of 33°C or higher for prolonged periods (Yahia, 2005). Careful transport from the fi eld is necessary to avoid additional injury. Packinghouse handling allows washing plus better selection and packing according to size compared to other handling and packing systems. Strong shipping containers with internal dividers help protect mangoes from damage during loading, shipping, and unloading operations, and as the fruit ripen and soften. The types of physical damage that may occur to mangoes include scuffi ng, along with compression, vibration, and impact bruising (Yahia, 2005). Mangoes should be kept in an environment of about 85 to 90% RH. Slow cooling, such as placing warm mangoes directly into a refrigerated area, will promote water loss because of the large gradient in water concentration between the fruit and the relatively dry, cold air. The area near the stem scar is more susceptible to water loss than the rest of the fruit and thus is usually the fi rst to show shrivelling. Scuffed areas on the surface of the fruit also collapse and shrivel from water loss. Mango sap and its negative effects can be reduced by adopting different methods such as by using detergent dips and sprays prior to de-stemming under water using lime, picking without stems onto a harvesting aid such as racks and dipping or spraying detergent on the fruit immediately, cleaning latex from fruit skin using 0.5–5% CaCO3solution, washing the fruit in 1% aluminium potassium sulphate solution after harvest (Holmes & Ledger, 1992). Of all these recommended methods, harvesting rack was recommended as the most effective method which reduces sap burn down to about 16% (Holmes & Ledger, 1992). Mango exporting countries must enforce adequate quality assurance systems and postharvest management practices to maintain fruit quality during the export chain. Temperature management during storage and shipping is a critical factor that affects fruit quality at destinations, and mangoes should be stored and shipped at 8–13 °C (depending on cultivar and duration) and at 85–90% RH. After arrival, proper temperature management has to be practiced at storage or at the retailers' shelf (8–14 °C). Decay and quality deterioration are the major postharvest problems of mango fruit during the export chain. Although fungicides such as prochloraz have been used commercially to control mango fruit decay, the resistance of the pathogens to these fungicides is increasing. Low temperature and MA/CA can delay fruit ripening and softening, but they need expensive equipments. Application of 1-MCP has potential for the commercial control of ripening and softening of harvested mango fruits especially in developing countries for long-distance transport because of its simplicity and low cost. However, the use of appropriate 1-MCP concentration still requires to be investigated further. Thus, it is necessary to develop integrated post-harvest technologies to better maintain overall mango fruit quality during the export chain.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

อุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อชีวิตหลังการเก็บเกี่ยวและคุณภาพของผลผลิตทางพืชสด อุณหภูมิต่ำจะต้องลดกิจกรรมเผาผลาญ เลื่อน ripening และ senescence ลดการสูญเสียน้ำ ป้องกัน หรือลดโรคและแมลงกิจกรรม และรักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว และเพิ่มอายุการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวต่าง ๆ มะม่วงจะยังคงสีเขียวที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า และสุกงอมเมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 33 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่าสำหรับรอบระยะเวลานาน (Yahia, 2005) ขนส่งที่ระมัดระวังจาก eld ไร้สายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพิ่มเติม Packinghouse การจัดการช่วยให้ซักผ้าพร้อมตัวเลือกที่ดีกว่า และบรรจุภัณฑ์ตามขนาดเมื่อเทียบกับการจัดการอื่น ๆ และการจัดระบบ จัดส่งพร้อมวิธีใช้แบ่งภายในแข็งแกร่งป้องกันมะม่วงจากความเสียหายในระหว่าง จัดส่ง และไปรษณียภัณฑ์การดำเนินงาน และเป็นผลไม้สุกงอม และนุ่ม ชนิดของความเสียหายทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับมะม่วงรวม ng scuffi บีบอัด การสั่นสะเทือน และผลกระทบช้ำ (Yahia, 2005) มะม่วงควรเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมของประมาณ 85-90% RH ช้าเย็น เช่นวางมะม่วงอบอุ่นลงพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิ จะส่งเสริมการสูญเสียน้ำเนื่องจาก มีการไล่ระดับสีขนาดใหญ่ในความเข้มข้นของน้ำผลไม้และอากาศค่อนข้างแห้ง เย็น บริเวณใกล้แผลก้านลดูน้ำสูญเสียกว่าส่วนเหลือของผลไม้ และดังนั้น โดยปกติจะเป็น rst fi จะแสดง shrivelling Scuffed บริเวณพื้นผิวของผลไม้ยังยุบ และ shrivel จากการสูญเสียน้ำ Sap มะม่วงและผลลบสามารถลดได้ โดยการใช้วิธีอื่นเช่นโดยการหมักผงซักฟอกและสเปรย์ก่อนยกเลิกกำลังใต้น้ำโดยใช้มะนาว การเบิกสินค้า โดยลำไปช่วย harvesting ราวและผงซักฟอกจิ้ม หรือฉีดพ่นบนผลไม้ทันที ทำความสะอาดยางจากเปลือกผลไม้ที่ใช้ 0.5 – 5% CaCO3solution ล้างผลไม้ในโซลูชันซัลเฟตโพแทสเซียมอะลูมิเนียม 1% หลังการเก็บเกี่ยว (โฮลมส์และบัญชีแยกประเภท , 1992) ของทั้งหมดแนะนำวิธีการเหล่านี้ ชั้นเก็บเกี่ยวที่แนะนำเป็นวิธีมีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งลดการเขียนซับลงประมาณ 16% (โฮลมส์และบัญชีแยกประเภท 1992) มะม่วงส่งออกประเทศต้องบังคับใช้ระบบประกันคุณภาพที่เพียงพอ และหลังการเก็บเกี่ยววิธีการบริหารจัดการเพื่อรักษาคุณภาพผลไม้ระหว่างสายส่ง จัดการอุณหภูมิในระหว่างการเก็บและขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพของผลไม้ที่นักท่องเที่ยว และมะม่วงควรจัดเก็บ และจัดส่ง ที่ 8 – 13 ° C (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและ cultivar) และ 85-90% RH หลังจากมาถึง อุณหภูมิที่เหมาะสมจัดการได้ไปปฏิบัติ ที่เก็บ หรือ ที่เก็บสินค้าของร้านค้าปลีก (8 – 14 ° C) เสื่อมสภาพผุและคุณภาพเป็นปัญหาสำคัญหลังการเก็บเกี่ยวของมะม่วงในระหว่างสายส่ง ถึงแม้ว่าซึ่งเกิดจากเชื้อเช่น prochloraz การใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อควบคุมผุผลไม้มะม่วง ความต้านทานของโรคซึ่งเกิดจากเชื้อเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้น อุณหภูมิต่ำและ MA/CA สามารถเลื่อน ripening ผลไม้และนุ่มนวล แต่พวกเขาต้องการอุปกรณ์ที่มีราคาแพง ประยุกต์ 1-MCP มีศักยภาพสำหรับการควบคุมการค้า ripening และนุ่มนวลของมะม่วงที่เก็บเกี่ยวผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาสำหรับการขนส่งทางไกลเนื่องจากความเรียบง่าย และประหยัด อย่างไรก็ตาม การใช้ความเข้มข้น 1-MCP ที่เหมาะสมยังคงต้องการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพผลไม้มะม่วงโดยรวมดีกว่า ระหว่างสายส่ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

อุณหภูมิเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อชีวิตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของพืชสวนสด อุณหภูมิต่ำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดกิจกรรมการเผาผลาญสุกล่าช้าและชราภาพลดการสูญเสียน้ำป้องกันหรือลดการเกิดโรคและแมลงและทำให้รักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวและเพิ่มอายุการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยว มะม่วงผลไม้มักจะเป็นสีเขียวที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่าและไม่ทำให้สุกเมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 33 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่าสำหรับระยะเวลานาน (Yahia 2005) ระวังการขนส่งจาก ELD ไฟเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพิ่มเติม การจัดการ packinghouse ช่วยให้การซักผ้าบวกเลือกที่ดีกว่าและการบรรจุตามขนาดเมื่อเทียบกับการจัดการอื่น ๆ และระบบการบรรจุ การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่แข็งแกร่งกับวงเวียนภายในมะม่วงช่วยปกป้องจากความเสียหายระหว่างการโหลดการจัดส่งสินค้าและการขนถ่ายการดำเนินงานและผลไม้สุกและนิ่ม ประเภทของความเสียหายทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับมะม่วงรวมงะ scuffi พร้อมกับการบีบอัดสั่นสะเทือนและผลกระทบช้ำ (Yahia 2005) มะม่วงควรจะเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ประมาณ 85-90% RH ระบายความร้อนช้าเช่นการวางมะม่วงอบอุ่นโดยตรงในพื้นที่ในตู้เย็นจะส่งเสริมการสูญเสียน้ำเนื่องจากการไล่ระดับสีขนาดใหญ่ในความเข้มข้นของน้ำระหว่างผลไม้และค่อนข้างแห้งอากาศเย็น พื้นที่ที่อยู่ใกล้รอยแผลเป็นลำต้นเป็นอ่อนแอมากขึ้นเพื่อการสูญเสียน้ำมากกว่าส่วนที่เหลือของผลไม้จึงมักจะเป็นสายแรกที่จะแสดง shrivelling พื้นที่ scuffed บนพื้นผิวของผลไม้ก็ยุบและเหี่ยวเฉาจากการสูญเสียน้ำ นมมะม่วงและผลกระทบเชิงลบของมันจะลดลงโดยการใช้วิธีการที่แตกต่างกันเช่นโดยใช้ dips ผงซักฟอกและสเปรย์ก่อนที่จะ-ที่เกิดภายใต้น้ำโดยใช้มะนาวยกโดยไม่เกิดบนความช่วยเหลือเก็บเกี่ยวเช่นชั้นวางและจุ่มหรือน้ำยาฉีดพ่นผลไม้ทันที การทำความสะอาดน้ำยางออกจากผิวผลไม้โดยใช้ 0.5-5% CaCO3solution ล้างผลไม้ในสารละลาย 1% โพแทสเซียมซัลเฟตอลูมิเนียมหลังการเก็บเกี่ยว (โฮล์มส์และบัญชีแยกประเภท 1992) ทั้งหมดเหล่านี้วิธีการแนะนำ, ชั้นวางเก็บเกี่ยวถูกแนะนำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจะช่วยลดการเผาไหม้นมลงไปประมาณ 16% (โฮล์มส์และบัญชีแยกประเภท 1992) มะม่วงประเทศผู้ส่งออกจะต้องบังคับใช้ระบบการประกันคุณภาพที่เพียงพอและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวการปฏิบัติเพื่อรักษาคุณภาพผลไม้ในช่วงห่วงโซ่การส่งออก การจัดการอุณหภูมิในระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพของผลไม้ที่สถานที่และมะม่วงควรเก็บและจัดส่งที่ 8-13 ° C (ขึ้นอยู่กับพันธุ์และระยะเวลา) และ 85-90% RH หลังจากการมาถึงการจัดการอุณหภูมิที่เหมาะสมจะต้องมีการฝึกซ้อมที่เก็บรักษาหรือการเก็บรักษาที่ร้านค้าปลีก (8-14 ° C) การสลายตัวและการเสื่อมสภาพที่มีคุณภาพเป็นปัญหาที่สำคัญหลังการเก็บเกี่ยวของผลไม้มะม่วงในระหว่างห่วงโซ่การส่งออก แม้ว่าสารฆ่าเชื้อราเช่น prochloraz ได้รับการใช้ในเชิงพาณิชย์ในการควบคุมการสลายตัวของผลไม้มะม่วงต้านทานของเชื้อโรคที่จะฆ่าเชื้อราเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น อุณหภูมิต่ำและแมสซาชูเซต / CA สามารถชะลอการสุกและผลไม้อ่อน แต่พวกเขาต้องการอุปกรณ์ที่มีราคาแพง การประยุกต์ใช้ 1 MCP ที่มีศักยภาพสำหรับการควบคุมการค้าของสุกและอ่อนของผลมะม่วงที่เก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาสำหรับการขนส่งทางไกลเพราะความเรียบง่ายและต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตามการใช้ความเข้มข้น 1 MCP ที่เหมาะสมยังคงต้องมีการสอบสวนต่อไป ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวแบบบูรณาการที่ดีในการรักษาคุณภาพของผลไม้มะม่วงโดยรวมในช่วงห่วงโซ่การส่งออก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

อุณหภูมิเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อชีวิตและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวพืชสวน สด อุณหภูมิต่ำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดกิจกรรมสลาย การชะลอการสุกและการลดการสูญเสียน้ำ ป้องกัน หรือลดความรุนแรงของโรคและแมลง และดังนั้นจึง รักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยว เพิ่มชีวิตมะม่วงผลไม้มักจะยังคงสีเขียว ที่อุณหภูมิ 28 องศา C หรือสูงกว่าและไม่สุก เมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 33 องศา C หรือสูงกว่าสำหรับระยะเวลานาน ( ยายา , 2005 ) ระวังการขนส่งจาก Fi ละมั่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพิ่มเติม packinghouse การจัดการช่วยให้ล้างบวกดีกว่า คัดเลือก และบรรจุตามขนาดเมื่อเทียบกับอื่น ๆการจัดการและการบรรจุระบบแข็งแรงตู้คอนเทนเนอร์กับวงเวียนภายในช่วยปกป้องจากความเสียหายในมะม่วงโหลด การจัดส่ง และการขนถ่าย และผลไม้สุก และนุ่ม ประเภทของความเสียหายทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับมะม่วง รวมถึง scuffi ng , พร้อมกับการบีบอัด , การสั่นสะเทือน , และผลกระทบรอยช้ำ ( ยายา , 2005 ) มะม่วงจะถูกเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมของเกี่ยวกับ 85 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เย็นช้าเช่นวางมะม่วงอบอุ่นโดยตรงในตู้เย็น พื้นที่ จะส่งเสริมการสูญเสียน้ำเนื่องจากการไล่ระดับสีขนาดใหญ่ในน้ำที่ความเข้มข้นระหว่างผลไม้และอากาศเย็นแห้ง ค่อนข้าง บริเวณใกล้ขั้วแผลเป็นจะอ่อนแอมากขึ้นเพื่อการสูญเสียน้ำมากกว่าส่วนที่เหลือของผลไม้ ซึ่งโดยปกติจะเป็น RST fi แสดง shrivelling .กันน้ำพื้นที่บนพื้นผิวของผลไม้ยังยุบและเหี่ยวเฉาจากการสูญเสียน้ำ ยางมะม่วงและผลกระทบเชิงลบของมันจะลดลงโดยการใช้วิธีการต่าง ๆเช่น โดยใช้ผงซักฟอก dips และสเปรย์ก่อน เดอ ที่เกิดในน้ำโดยใช้ปูน รับไม่มีลำต้นบนเก็บเกี่ยวความช่วยเหลือ เช่น ชั้นวาง และจุ่มหรือพ่นผงซักฟอกในผลไม้ทันทีทำความสะอาดยางจากผิวผลใช้ 0.5 - 5 % caco3solution , ล้างผลไม้ใน 1% โพแทสเซียมซัลเฟตอลูมิเนียมสารละลายหลังการเก็บเกี่ยว ( โฮล์มส์&บัญชีแยกประเภท , 1992 ) ทั้งหมดนี้แนะนำวิธีการเก็บเกี่ยวชั้นได้รับการแนะนำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจะช่วยลด SAP เผาไปประมาณ 16 % ( โฮล์มส์&บัญชีแยกประเภท , 1992 )มะม่วงส่งออกต่างประเทศจะต้องบังคับใช้อย่างเพียงพอระบบการประกันคุณภาพการจัดการและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อรักษาคุณภาพของผลไม้ระหว่างโซ่ส่งออก การจัดการอุณหภูมิในระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่งเป็นสำคัญปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพผลที่จุดหมายปลายทาง และมะม่วง ควรจัดเก็บและจัดส่งที่ 8 – 13 ° C ( ขึ้นอยู่กับพันธุ์ และระยะเวลา ) และที่อุณหภูมิ 85 - 90 เปอร์เซ็นต์หลังจากมาถึง การจัดการอุณหภูมิที่เหมาะสมมีซ้อมที่กระเป๋า หรือที่ร้านค้าปลีก ' ชั้น ( 8 – 14 ° C ) สลาย และเสื่อมคุณภาพเป็นหลักปัญหาของผลมะม่วงหลังการเก็บเกี่ยวในช่วงโซ่ส่งออก แม้ว่าสารเคมี เช่น โปรคลอราซได้ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อควบคุมการย่อยสลายผลไม้ มะม่วง ความต้านทานของเชื้อโรคกับสารเคมีเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นอุณหภูมิต่ำและ MA / CA สามารถหน่วงเวลา ผลไม้สุกและนิ่ม แต่พวกเขาต้องการอุปกรณ์ราคาแพง การใช้ 1-MCP มีศักยภาพในการควบคุมการค้าของสุกและอาศัยผลของมะม่วงโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาสำหรับการขนส่งระยะทางไกลเพราะความเรียบง่ายและค่าใช้จ่ายต่ำ อย่างไรก็ตามการใช้ 1-MCP ความเข้มข้นที่เหมาะสม ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น จึงจำเป็น ต้องพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อรักษาคุณภาพโดยรวมดีกว่ามะม่วงผลไม้ระหว่างโซ่ส่งออก