A wildfire is an uncontrolled fire

A wildfire is an uncontrolled fire in an area of combustible vegetation that occurs in the countryside or a wilderness area.Other names such as brush fire, bush fire, forest fire, desert fire, grass fire, hill fire, peat fire, vegetation fire, and veldfire may be used to describe the same phenomenon depending on the type of vegetation being burned, and the regional variant of English being used. A wildfire differs from other fires by its extensive size, the speed at which it can spread out from its original source, its potential to change direction unexpectedly, and its ability to jump gaps such as roads, rivers and fire breaks. Wildfires are characterized in terms of the cause of ignition, their physical properties such as speed of propagation, the combustible material present, and the effect of weather on the fire.[3]

Wildfires are a common occurrence in Australia; because of the generally hot and dry climate, they pose a great risk to life and infrastructure during all times of the year, though mostly throughout the hotter months of summer and spring.In the United States, there are typically between 60,000 and 80,000 wildfires that occur each year, burning 3 million to 10 million acres of land depending on the year. Fossil records and human history contain accounts of wildfires, as wildfires can occur in periodic intervals.Wildfires can cause extensive damage, both to property and human life, but they also have various beneficial effects on wilderness areas. Some plant species depend on the effects of fire for growth and reproduction, although large wildfires may also have negative ecological effects.

Strategies of wildfire prevention, detection, and suppression have varied over the years, and international wildfire management experts encourage further development of technology and research. One of the more controversial techniques is controlled burning: permitting or even igniting smaller fires to minimize the amount of flammable material available for a potential wildfire. While some wildfires burn in remote forested regions, they can cause extensive destruction of homes and other property located in the wildland-urban interface: a zone of transition between developed areas and undeveloped wilderness.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ไฟป่าการอยู่ไฟการอพยพในพื้นที่ของพืชการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในชนบทหรือพื้นที่ถิ่นทุรกันดารชื่ออื่น ๆ เช่นแปรงไฟ ไฟบุช ไฟป่า ไฟทะเลทราย หญ้าไฟ ไฟฮิลล์ พรุไฟ ไฟพืช และ veldfire อาจใช้อธิบายปรากฏการณ์เดียวกันขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่กำลังเขียน และตัวแปรภูมิภาคของการใช้ภาษาอังกฤษ ไฟป่าแตกต่างจากไฟอื่น ๆ โดยหลากหลายขนาด ความเร็วในที่ที่มันสามารถแพร่กระจายออกมาจากแหล่งต้นฉบับ ศักยภาพในการเปลี่ยนทิศทางโดยไม่คาดคิด และความสามารถในการข้ามช่องว่างเช่นถนน แม่น้ำ และไฟแบ่ง Wildfires มีลักษณะในด้านสาเหตุของการจุดระเบิด คุณสมบัติทางกายภาพเช่นความเร็วของการแพร่กระจาย ปัจจุบันวัสดุเผาไหม้ และผลของสภาพอากาศไฟ[3]Wildfires อยู่ในออสเตรเลีย เนื่องจากสภาพอากาศร้อน และแห้งโดยทั่วไป พวกเขามีความเสี่ยงมากชีวิตและโครงสร้างพื้นฐานในช่วงเวลาทั้งหมดของปี แม้ว่าส่วนใหญ่ตลอดเดือนร้อนของฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิในสหรัฐอเมริกา มีอยู่โดยทั่วไประหว่าง wildfires 60000 และ 80000 ที่เกิดขึ้นแต่ละปี เขียน 3 ล้านถึง 10 ล้านเอเคอร์ตามปี ระเบียนฟอสและประวัติศาสตร์มนุษย์ประกอบด้วยบัญชีของ wildfires เป็น wildfires สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาประจำงวดWildfires อาจทำให้เกิดความเสียหายมากมาย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์ แต่พวกเขายังมีผลประโยชน์ต่าง ๆ ในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร พืชบางชนิดขึ้นอยู่กับผลกระทบของไฟสำหรับการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์ แม้ว่า wildfires ขนาดใหญ่ยังอาจจะกระทบระบบนิเวศกลยุทธ์การป้องกันไฟป่า ตรวจสอบ และปราบปรามได้แตกต่างกันหลายปี และผู้เชี่ยวชาญในการจัดการไฟป่าประเทศสนับสนุนต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและงานวิจัย เทคนิคแย้งขึ้นหนึ่งควบคุมเขียน: เอื้ออำนวย หรือแม้กระทั่งจุดไฟขนาดเล็กเพื่อลดจำนวนวัสดุไวไฟที่ใช้สำหรับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่บาง wildfires เขียนในขอบเขตป่าระยะไกล พวกเขาจะทำอย่างละเอียดทำลายบ้านและทรัพย์สินอื่น ๆ ที่อยู่ในอินเทอร์เฟซสม่ำเสมอ wildland เมือง: โซนของการเปลี่ยนแปลงระหว่าง undeveloped ถิ่นทุรกันดารและพื้นที่พัฒนา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ไฟป่าเป็นไฟไม่มีการควบคุมในพื้นที่ของพืชที่ติดไฟได้ที่เกิดขึ้นในชนบทหรือที่รกร้างว่างเปล่า area.Other ชื่อเช่นไฟแปรงไฟป่าไฟป่า, ไฟไหม้ทะเลทราย, ไฟไหม้หญ้าไฟเนินเขา, ไฟไหม้พรุไฟพืชพันธุ์ และ veldfire อาจถูกใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์เดียวกันขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่มีการเผาไหม้และแตกต่างในระดับภูมิภาคของอังกฤษถูกนำมาใช้ ไฟป่าที่แตกต่างจากไฟอื่น ๆ โดยขนาดของมันอย่างกว้างขวางความเร็วที่มันสามารถแพร่กระจายออกจากแหล่งเดิมที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนทิศทางไม่คาดคิดและความสามารถในการข้ามช่องว่างเช่นถนนแม่น้ำและเกิดอัคคีภัย ไฟป่ามีความโดดเด่นในแง่ของสาเหตุของการเผาไหม้สมบัติทางกายภาพของพวกเขาเช่นความเร็วของการขยายพันธุ์ปัจจุบันวัสดุที่ติดไฟได้และผลกระทบของสภาพอากาศในไฟ [3]. ไฟป่าเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย เพราะอากาศร้อนและแห้งโดยทั่วไปพวกเขาก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ดีในการดำรงชีวิตและโครงสร้างพื้นฐานในช่วงเวลาของปี แต่ส่วนใหญ่ตลอดทั้งเดือนที่ร้อนของฤดูร้อนและ spring.In สหรัฐอเมริกามีปกติระหว่าง 60,000 และ 80,000 ไฟป่าที่ เกิดขึ้นในแต่ละปีการเผาไหม้ 3,000,000-10,000,000 ไร่ของที่ดินที่ขึ้นอยู่กับปี บันทึกฟอสซิลและประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีบัญชีของไฟป่าเป็นไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นในระยะ intervals.Wildfires สามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางทั้งทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์ แต่พวกเขายังมีผลประโยชน์ต่างๆในพื้นที่รกร้าง พืชบางชนิดขึ้นอยู่กับผลกระทบของไฟสำหรับการเจริญเติบโตและการทำสำเนาถึงแม้ว่าไฟป่าขนาดใหญ่ที่อาจมีผลกระทบต่อระบบนิเวศเชิงลบ. กลยุทธ์ในการป้องกันไฟป่า, การตรวจสอบและปราบปรามมีความหลากหลายกว่าปีและต่างประเทศผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการไฟป่าสนับสนุนการพัฒนาต่อไปของเทคโนโลยีและ การวิจัย หนึ่งในเทคนิคที่ถกเถียงกันมากขึ้นมีการควบคุมการเผาไหม้: อนุญาตหรือแม้กระทั่งจุดไฟไฟขนาดเล็กเพื่อลดปริมาณของวัสดุไวไฟใช้ได้สำหรับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่ไฟป่าเผาไหม้บางส่วนในพื้นที่ป่าระยะไกลที่พวกเขาสามารถทำให้เกิดการทำลายที่กว้างขวางของบ้านและทรัพย์สินอื่น ๆ ที่อยู่ในอินเตอร์เฟซป่าเมือง: โซนของการเปลี่ยนแปลงระหว่างการพัฒนาพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและยังไม่ได้พัฒนา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ไฟป่า เป็นไฟไม่มีการควบคุมในพื้นที่ของพืชได้ที่เกิดขึ้นในชนบทหรือพื้นที่ป่า ชื่ออื่นๆ เช่น แปรงไฟ บุชไฟเผาป่า ทะเลทราย ไฟ ไฟ ไฟ หญ้า , เนินเขา , peat ไฟ veldfire พืช และอาจถูกใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์เดียวกันขึ้นอยู่กับชนิด ของพืชที่ถูกเผา และภูมิภาคแตกต่างจากภาษาอังกฤษที่ใช้ไฟป่าต่างจากไฟอื่นๆ โดยขนาดกว้างขวางของมัน ความเร็วที่สามารถกระจายออกไปจากแหล่งเดิม อาจเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน และความสามารถในการกระโดดข้ามช่องว่าง เช่น ถนน แม่น้ำ และแบ่งไฟ ไฟป่ามีลักษณะในแง่ของสาเหตุของการเผาไหม้ คุณสมบัติทางกายภาพของพวกเขา เช่น ความเร็วของการใช้วัสดุที่ติดไฟได้ ปัจจุบันและผลกระทบของสภาพอากาศในไฟ [ 3 ]

ไฟป่าเป็นปกติที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย เพราะโดยทั่วไปร้อนและแห้งอากาศ พวกเขาก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต และโครงสร้างพื้นฐานในช่วงเวลาของปี แม้ว่าส่วนใหญ่ตลอดร้อนเดือนของฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิ ในสหรัฐอเมริกามี เป็นปกติระหว่าง 60 และ 80 , 000 ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแต่ละปีการเผาไหม้ 3 ล้านถึง 10 ล้านไร่ของที่ดินตามปี ซากดึกดำบรรพ์บันทึกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ประกอบด้วยบัญชีไฟป่า , ไฟป่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะ ไฟป่าสามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิตของมนุษย์ แต่พวกเขายัง มี ผล ประโยชน์ต่าง ๆ ในพื้นที่ทุรกันดาร พืชบางชนิดขึ้นอยู่กับผลของไฟสำหรับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์แม้ว่าไฟป่าขนาดใหญ่อาจยังมีผลกระทบทางนิเวศวิทยาเชิงลบ

กลยุทธ์ป้องกันไฟป่า ตรวจหา และการปราบปรามมีหลากหลายกว่าปีและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการไฟป่านานาชาติส่งเสริมการพัฒนาต่อไปของเทคโนโลยีและการวิจัย หนึ่งในเทคนิคการโต้เถียงมากกว่าถูกควบคุมการเผาไหม้ :อนุญาตให้ หรือแม้แต่ติดไฟขนาดเล็กเพื่อลดปริมาณของวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย สามารถใช้ได้กับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่บางไฟป่าเผาป่าในพื้นที่ห่างไกลที่พวกเขาสามารถทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างกว้างขวางของบ้านและคุณสมบัติอื่น ๆ ที่อยู่ในเมือง ติดต่อ : Wildland โซนของการเปลี่ยนแปลงระหว่างพัฒนาพื้นที่และพัฒนาป่า