นิทานพื้นบ้านฟิลิปปินส์ กำเนิดของทุเรียน
สมัยก่อน นานมาแล้ว มีเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาว่า มีพระราชาผู้ชราภาพ และหน้าตา น่าเกลียด ผู้หนึ่ง มีนามว่า บารอม ไหม
อาศัยอยู่ ณ ดินแดนที่เรียกว่า เมือง คาดินาน (Calinan )
(เมืองคาดินาน ซึ่งอยู่ใน มินดาเนา(ไม่ได้อยู่ในพื้นที่วิซายา)
เค้ามีอำนาจมากมาย แต่ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว พระราชาไม่อาจชนะใจ หญิงสาวคู่หมั้นของเค้าชื่อ มาดาเยา เบโฮ ลูกสาวของ พระราชาแห่งโจรสลัดได้
พระราชา บารอม ไหม ได้ถาม ทหารผู้รู้ใจของเค้าว่า มีทางไหน ที่เค้าจะชนะใจ หญิงสาวที่เค้าหมายปองได้บ้าง
มาติแกม เป็นทหารที่ปรึกษาที่ ฉลาดที่สุดในวัง
มาติแกม ทูลว่า " มีฤาษี ผู้หนึ่ง ชื่อว่า อิมพิท พูรอค อาศัยอยู่ในถ้ำ Mt.Apo สามารถช่วยท่านได้ "
พระราชา บารอม ไหม ไปหาฤาษี ฤาษี ได้ให้พระราชา หาของ 3 สิ่งมา ได้แก่
1. ไข่ของนกทาบอนดำ ( blacktabon bird)
2. นม 12 ทัพพี จากวัวสีขาวบริสุทธิ์
3. น้ำหวานจากดอกไม้ ของต้นไม้วิเศษ ต้นไม้ที่ทำให้คนเชื่อได้
พระราชาถามฤาษีว่า " ท่านต้องการสิ่งพวกนี้ไปทำอะไรเหรอ"
ฤาษีอธิบายว่า เราจะใช้ไข่นกทาบอนดำ ทำให้ หัวใจของเจ้าหญิงมาดาเยา อ่อนโยนลง
ใช้นมวัวสีขาวบริสุทธิ์ เพื่อทำให้เธอ ใส่ใจ เอาใจใส่ กับพระราชามากขึ้น
ใช้ น้ำหวานจากดอกไม้ วิเศษ เพื่อทำให้ เจ้าหญิง มองพระราชาดูหล่อ และหนุ่มแน่น
พระราชา ได้ไปหาสิ่งของต่างๆ ดังนี้
ไข่นก พระราชาได้มาจาก ความช่วยเหลือของ พาวิคาน พระราชาแห่งเต่าทะเล และในตอนเช้าถัดมา
พ่อครัว ได้หา นมจาก วัวสีขาวบริสุทธิ์ มาให้
ส่วนน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ เทพแห่งอากาศ ฮันจินไบ ได้พาพระราชา ไปหาน้องสาวของเธอ
เพื่อเอาน้ำหวาน จากดอกไม้วิเศษ ที่ประดับผมนางไม้
พระราชา บารอมไหม ได้มอบสิ่งของ ให้ฤาษี
ฤาษีขอสัญญาว่า ให้ พระราชา จัดงานเลี้ยงแต่งงานยิ่งใหญ่ และ เชิญ ฤาษี ไปงานเลี้ยงด้วยในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พระราชาก็สัญญา
ฤาษีจึง ทำพิธี ผสม 3 สิ่งนี้เข้าด้วยกัน ไข่นกทาบอนดำ นมจากวัวขาวบริสุทธิ์ น้ำหวานวิเศษ
ฤาษีบอกให้ พระราชา นำส่วนผสมวิเศษนี้ ไปปลูกเป็นต้นไม้ในสวนของพระราชา
วันรุ่งขึ้น ต้นไม้ได้เติบโตขึ้น ต้นไม้มีผล กลิ่นหอมหวาน ชวนกิน พระราชาจึงนำไปให้เจ้าหญิงมาดาเยา กิน เธอก็ตกหลุมรักพระราชาทันที
พระราชามีความสุขมาก จัดพิธีอภิเษกสมรส ใหญ่โต และเชิญแต่เพื่อนสนิท แต่เค้าลืมเชิญ ฤาษีผู้ทำพิธีมางานเสียสนิท
ฤาษีจึงแก้แค้น โดยให้ ผลไม้ที่กลิ่นหอมหวานนั้น กลายเป็นกลิ่น ที่น่ากลัวแทน ในขณะที่ ผลไม้ผิวเรียบสวยงาม ก็ปกคลุม ไปด้วยหนามแหลมคม ดังเช่น ทุเรียนทุกวันนี้
ชื่อ การเส็งกลอง
ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัด กาฬสินธุ์
อุปกรณ์ ๑. กลองเส็ง หรือกลองกิ่ง ๑ คู่ (๒ ใบ)
๒. ไม้ตีกลอง มีความยาว ๗๐ ซม.
วิธีการเล่น
การเส็งกลองนิยมตีกันเป็นคู่ๆ แต่ละคู่จะต้องตีกลอง ๒ ใบ เจ้าของกลองจะต้องตรึงหน้ากลอง ให้ตึงที่สุด โดยการหมุน (ขัน) หนังชักกลองเข้าที่จะค่อยๆปรับระดับเสียงกลองแต่ละคู่ให้มีเสียงเดียวกัน (ภาษากลองเรียกว่า "เค่งกลอง") นำกลองที่เตรียมมาดีแล้วเข้าประกบคู่บนเวที หันหน้ารูแพกลองเฉียงเข้าหาคู่แข่งขันไปสู่ผู้ฟัง การตีกลองแข่งขันตีกันฝ่ายละ ๕ คน คนละ ๑ ยกๆละประมาณ ๒ นาที การตัดสินของคณะกรรมการพิจารณาจากเสียงกลอง คู่ที่ชนะต้องมีเสียงใสแหลม สูง และต้องตีให้ชนะ ๓ ใน ๕ ยก กลองต้องไม่ขาดจึงจะถือว่าชนะ
โอกาส และเวลาที่เล่น
การเล่นกลองกิ่ง หรือกลองเส็งไม่มีใครทราบว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่จะนำมาใช้แห่ในบุญเดือน หก (บุญบั้งไฟ) เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เสร็จแล้วจะมีการเส็งกลอง คือแข่งขันตีกลองอย่างสนุกสนาน ในปัจจุบันจังหวัดกาฬสินธุ์จะมีการเส็งกลองกัน (ตีกลองกิ่งแข่งขัน) จึงเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "การเส็งกลอง"
คุณค่า / สาระ
ชาวบ้านโคกล่าม อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ นิยมการละเล่น สนุกสนานเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน เสียงเร้าใจ เกิดความสามัคคี กลมเกลียวกันในกลุ่มแต่ละหมู่บ้าน และเป็นการแสดงออกถึงความสามารถ ภูมิปัญญาในการจัดทำอุปกรณ์การเล่นเอง
ลักษณะของกลองกิ่ง
เป็นกลองที่ทำมาจากไม้ประดู่แดงทรงกระบอกกลวง ด้านหน้ากลองยาว ๔๐ ซม. ด้านล่างกลอง (ก้นกลอง) กว้าง ๓๐ ซม. สูงประมาณเท่าครึ่งของความกว้างหน้ากลอง หุ้มด้วยแผ่นหนังทั้งด้านหน้าและแผ่นหลัง ดึงเข้าหากันโดยหนังที่เรียกว่า หนังชัก และหนังหูกลองข้างกลอง ห่างจากหน้ากลองประมาณ ๒๐ ซม. เจาะเป็นรู สี่เหลี่ยมขนาด ๑๐ x ๑๕ ซม. เรียกว่า "รูแพ" เพื่อเป็นการระบายเสียงขณะตี ข้างในกลองเหนือรูแพจะเป็นปุ่มเรียกว่าลิ้นกลอง เพื่อทำหน้าที่ปรับระดับเสียงของกลอง (เหมือนลิ้นแคน)
การขุดกลอง ก่อนจะลงมือขุดกลอง ช่างต้องเลือกต้นไม้ ไม้ที่นิยมทำกลองได้แก่ไม้ประดู่แดง ต้องเลือกต้นที่มีลักษณะของเซลล์ไม้ตรง ไม่คู้ หรือมีตา มีเส้นผ่าศูนย์กลางของแก่นไม้ประมาณ ๕๐ ซม. สูงประมาณ ๑ เมตร จำนวน ๒ ท่อน ไม้ชนิดอื่นก็ทำได้ แต่ไม่นิยม อาจเป็นเพราะขุดยากเมื่อทำเป็นกลองแล้วเวลาตีไม่ค่อยดัง และไม่แข็งแรง เครื่องมือที่ใช้ขุดกลองได้แก่ ขวาน สิ่ว สว่าน แชลง กบ และ "ง่อง" โดยการขุดตรงกลางไม้ให้กลวงเป็นโพรง มีความหนา บาง ตามความต้องการของช่าง
การทำหนังหน้ากลอง ในสมัยก่อนนิยมทำมาจากหนังโค ปัจจุบันนิยมใช้หนังกระบือเพราะจะเหนียว และทนกว่า โดยเลือกหนังกระบือที่มีอายุระหว่าง ๕-๑๐ ปี และไม่อ้วนเกินไป กระบือ ๑ ตัวจะทำหนังหน้ากลองได้ สองหน้า ส่วนที่เหลือจะใช้ทำหนังก้นกลอง หนังหูกลอง และหนังชัก ก่อนจะนำหนังกระบือไปหุ้มหน้ากลอง ต้องผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำมาขูดโดยใช้มีดที่คมมาก ให้บางจนเป็นที่พอใจ (ยิ่งบางกลองยิ่งมีเสียงดัง)
ไม้ตีกลอง นิยมมาจากไม้เค็ง เพราะจะมีคุณสมบัติที่เหนียวทนทาน เวลาตีน้ำหนักดี มีความยาวประมาณ ๗๐ ซม. เหลาให้กลม ปลายไม้เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ ซม. ตรงโคนไม้บริเวณมือจับพันด้วยผ้าให้พอดีเวลาตีแข่งขัน
The name of the Seng drums. North Eastern Province
Kalasin
1 devices.King Seng drums or drum, 1 pair (2 tickets)
2. Drumstick length 70 cm
how to play.The shares hit a couple of drum hits. Each pair will have to hit the drums two piece camera owner should be held taut drum by rotating the (ridiculous), the film is gradually drawn into the drum volume each pair of drums to sound the same. (Language box calledPrepared then he brought the box opposite the stage. Facing toward losing drummer of opponent to a listener. Drumming competition hit 5 people, each one different, each about 2 minutes to lift the decision of the Committee of the drum.And have to beat to win 3 of the 5, the box shall not be deemed a lack of wins
.Oppo