Plutonism (or vulcanism) is the geo

Plutonism (or vulcanism) is the geologic theory that the rocks forming the Earth were formed in fire by volcanic activity, with a continuing gradual process of weathering and erosion wearing away rocks, which were then deposited on the sea bed, re-formed into layers of sedimentary rock by heat and pressure, and raised again. It proposed that basalt was solidified molten magma. It was named after Pluto, the classical ruler of the underworld, or alternatively after Vulcan, the ancient Roman god of fire and volcanoes.

The theory was first proposed before 1750, by Abbé Anton Moro who had studied volcanic islands, and was subsequently developed by James Hutton as part of his Theory of the Earth published in 1788. It contested Abraham Werner's neptunist theory which proposed that the Earth had formed from a mass of water and suspended material which had formed rocks as layers of deposited sediment which became the continents when the water retreated, further layers being deposited by floods and some volcanic activity.

The plutonists strongly disputed the neptunist view that rocks had been formed by processes that no longer operated, instead supporting Hutton's uniformitarianism. A key part of the debate was the neptunist belief that basalt was sedimentary, and some fossils had been found in it. Against this, Hutton's friend John Playfair argued that this rock contained no fossils as it had been formed from molten magma, and it had been found cutting through other rocks in volcanic dykes. The arguments continued into the 19th century, and eventually the plutonist views on the origin of rocks prevailed. However, sedimentary rocks such as limestone are considered to have resulted from processes like those described by the neptunists, and so modern theory can be seen as a synthesis of the two approaches.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Plutonism (หรือ vulcanism) เป็นทฤษฎีธรณีวิทยาที่ว่า หินเป็นโลกถูกก่อตั้งขึ้นในไฟ โดยภูเขาไฟ กับกิจกรรมกระบวนการสมดุลต่อสภาพอากาศและการกัดเซาะที่สวมใส่เก็บหิน ที่แล้วฝากบนท้องทะเล ใหม่เกิดขึ้นในชั้นหินตะกอน โดยความร้อนและความดัน และเพิ่มขึ้นอีก มันเสนอว่า หินบะซอลต์ที่แข็งเป็นหินหนืดที่หลอมละลาย มันถูกตั้งชื่อตามดาวพลูโต มังกร เจ้าคลาสสิก หรืออีกวิธีหนึ่งคือหลังจากวูลแคน พระเจ้าโรมันโบราณไฟและไฟทฤษฎีแรกที่เสนอก่อน 1750 โดยแนวแอนทอน Abbé ผู้ได้ศึกษาหมู่เกาะภูเขาไฟ และในเวลาต่อมากล่าวถึง โดย James ฮัตตันเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีของเขาของโลกประกาศใน 1788 เรื่องจีนแสอับราฮัม Werner neptunist ทฤษฎีที่เสนอว่า โลกมีเกิดจากมวลของวัสดุระงับซึ่งมีหินเกิดเป็นชั้นตะกอนที่ฝากทั้งหมดซึ่งเป็นทวีปเมื่อน้ำถอยกรูดอย่าง ชั้นต่อไปฝากเงิน โดยอุทกภัยและบางกิจกรรมภูเขาไฟ และน้ำPlutonists การขอมีข้อโต้แย้งที่หินมีการเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ไม่ดำเนิน uniformitarianism ของฮัตตันแทนสนับสนุนมุมมอง neptunist ส่วนสำคัญของการอภิปรายถูก neptunist เชื่อว่า หินบะซอลต์ตะกอน และมีการพบซากดึกดำบรรพ์บางใน จากนี้ เพื่อนของฮัตตันจอห์น Playfair โต้เถียงว่า หินนี้ประกอบด้วยซากดึกดำบรรพ์ไม่มีการเกิดขึ้นจากหินหนืดที่หลอมเหลว และมันได้รับการพบตัดผ่านหินอื่น ๆ ใน dykes ภูเขาไฟ อาร์กิวเมนต์อย่างต่อเนื่องเป็นศตวรรษ และในที่สุด plutonist มุมมองของหินแผ่ขยายไป อย่างไรก็ตาม หินตะกอนเช่นหินปูนถือว่าไม่ได้เป็นผลมาจากกระบวนการเช่นที่อธิบายไว้ โดย neptunists และทฤษฎีทันสมัยเพื่อให้สามารถมองเห็นเป็นสองวิธีการสังเคราะห์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

พลูตอน Plutonism พลู (หรือ vulcanism) เป็นทฤษฎีทางธรณีวิทยาว่าหินรูปโลกกำลังก่อตัวขึ้นในกองไฟจากการระเบิดของภูเขาไฟที่มีกระบวนการที่ค่อยๆอย่างต่อเนื่องของสภาพดินฟ้าอากาศและการพังทลายชะหินซึ่งถูกนำไปฝากไว้แล้วบนเตียงทะเลอีกครั้งที่เกิดขึ้นในชั้น ของหินตะกอนจากความร้อนและความดันและยกอีกครั้ง มันเสนอว่าหินบะซอลได้รับการเสริมความมั่นคงหินหนืดหลอมละลาย มันเป็นชื่อดาวพลูโตปกครองคลาสสิกของนรกหรือมิฉะนั้นหลังจากวัลแคนเทพเจ้าโรมันโบราณของไฟและภูเขาไฟ. ทฤษฎีถูกเสนอครั้งแรกก่อนที่จะ 1750 โดยAbbéแอนตันโมโรผู้มีการศึกษาเกาะภูเขาไฟและได้รับการพัฒนาต่อมา เจมส์ฮัตตันเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีของโลกที่ตีพิมพ์ใน 1788 มันประกวดทฤษฎี neptunist อับราฮัมเวอร์เนอร์ของเขาซึ่งเสนอว่าโลกได้เกิดขึ้นจากมวลของน้ำและระงับวัสดุที่ได้เกิดโขดหินเป็นชั้นของตะกอนฝากซึ่งกลายเป็นทวีปเมื่อ น้ำถอยชั้นต่อไปที่จะถูกนำไปฝากไว้จากน้ำท่วมและบางส่วนการระเบิดของภูเขาไฟ. plutonists ขอโต้แย้งมุมมอง neptunist หินที่ถูกสร้างขึ้นโดยกระบวนการที่ดำเนินการไม่แทนที่จะสนับสนุน uniformitarianism ฮัตตันของ ส่วนสำคัญของการอภิปรายเป็นความเชื่อที่ neptunist บะซอลต์เป็นตะกอนและฟอสซิลบางส่วนถูกพบอยู่ในนั้น ต่อนี้เพื่อนฮัตตันจอห์นเพลย์แฟร์ถกเถียงกันอยู่ว่าหินก้อนนี้มีฟอสซิลไม่เป็นมันถูกสร้างขึ้นมาจากหินหนืดหลอมเหลวและมันถูกพบตัดผ่านโขดหินในเลสเบี้ยนภูเขาไฟ ข้อโต้แย้งอย่างต่อเนื่องในศตวรรษที่ 19 และในที่สุดก็มองเห็นวิว plutonist ที่มาของหินชนะ อย่างไรก็ตามหินตะกอนเช่นหินปูนจะถือว่ามีผลมาจากกระบวนการเช่นเดียวกับที่อธิบายโดย Neptunists และทฤษฎีใหม่เพื่อให้สามารถมองเห็นเป็นสังเคราะห์ของทั้งสองแนวทาง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

plutonism ( หรือ vulcanism ) เป็นทฤษฎีทางธรณีวิทยาที่หินสร้างโลกขึ้นในกองไฟโดยภูเขาไฟที่มีต่อกระบวนการของการกัดเซาะ และค่อยๆใส่ไปหิน ซึ่งได้ฝากบนเตียงทะเล จะก่อตัวขึ้นเป็นชั้นของหินตะกอนโดยความร้อนและความดัน และขึ้นอีกครั้ง มันเสนอว่าหินบะซอลต์ก็หล่อหล่อหินหนืดมันเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อพลูโต , ไม้บรรทัดคลาสสิกของยมโลก หรืออีกวิธีหนึ่งคือ หลังจาก โรมัน โบราณ วัลแคน เทพแห่งไฟและภูเขาไฟ

ทฤษฎีถูกเสนอครั้งแรกก่อน 1750 โดย ABB และแอนทอน โมโรที่เรียนเกาะภูเขาไฟ และต่อมาได้พัฒนาโดยเจมส์ ฮัตตัน เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีของเขาของโลก เผยแพร่ ใน 1788 .มันโต้แย้งของอับราฮัม เวอร์เนอร์ neptunist ทฤษฎีที่เสนอว่าโลกจะเกิดขึ้นจากมวลน้ำ และพักงาน วัสดุที่ได้เกิดขึ้นหินเป็นชั้นตะกอนสะสมซึ่งกลายเป็นทวีปเมื่อน้ำลาด ชั้นต่อไปเป็นเงินโดยน้ำท่วมและบางส่วนของภูเขาไฟกิจกรรม

การ plutonists ขอโต้แย้ง neptunist วิวที่หินได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยกระบวนการที่ไม่ใช้ แทน ฮัตตัน สนับสนุนเป็นหลักความเป็นเอกภาพ . เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการอภิปราย คือ ความเชื่อที่ว่า neptunist หินบะซอลต์เป็นหินตะกอน และซากฟอสซิลได้ถูกพบในมัน กับนี้เพื่อนของ ฮัตตัน จอห์นเพลย์แฟร์ที่ถกเถียงกันอยู่ว่าหินก้อนนี้ในซากตามที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นจากหินหนืดหลอมเหลว และพบการตัดหินอื่น ๆในภูเขาไฟเลสเบี้ยน . ข้อโต้แย้งต่อเข้าไปในศตวรรษที่ 19 และในที่สุดมุมมองที่ plutonist เกี่ยวกับที่มาของหินมากกว่า อย่างไรก็ตามหินตะกอน เช่น หินปูนจะถือว่ามีผลจากกระบวนการเช่นเดียวกับที่อธิบายไว้โดย neptunists และทฤษฎีทันสมัยจังได้เห็นเป็นการสังเคราะห์สองวิธี .