Excessive soil alkalinity decreases

Excessive soil alkalinity decreases crop productivity, reducing farmers’ incomes from their harvests. In 2008, SCG and two government agencies (the National Center for Genetic Engineering and Biotechnology and the Land Development Department) formed a project to tackle alkaline soil problems in northeastern Thailand. They researched rice varieties and cash crops that can grow well on alkaline soils. Local farmers were advised to plant bamboo, eucalyptus, Manila tamarind and Siamese neem trees, for example, and were introduced to the benefits of using soil organic matter and perennial plants. As a result, soil quality improved in more than 42,000 rai in 72 villages that used to suffer from alkaline soils. The farmers were able to increase their rice productivity dramatically from less than 200 kg to between 400 and 1,000 kg per rai. The farmers in these areas created networks for knowledge-sharing to disseminate knowledge about alkaline soil and how to cope with it. Since then, in cooperation with “guru groups”, 59 farmer education centers have been established in 17 provinces across the Northeast, with members from over 4,000 households.

In addition, the farmers have started growing mushrooms, collecting animal droppings for fertilizer and producing vegetables, among other activities, thereby increasing their incomes and reducing their household debt burden.

In the long term, SCG has high hopes that Thai farmers will become able to rely on their own resources. They first need to gain a sufficient understanding of business management principles and how to use their existing resources to increase their incomes.

Good examples of income-generating projects through community initiatives and knowledge-sharing already exist. They include the community rice mill in Ban Pon Sung, Udon Thani Province; the organic fertilizer enterprise in Ban Toey, Nakhon Ratchasima Province; and the organic vegetable farmer group in Ban Puey Yai, Khon Kaen Province.

In 2007, the “growing wisdom, sharing happiness” learning center was established at Ban Toey, in Tambon Krabuangyai of Pimai District, Nakhon Ratchasima Province, for (1) sharing knowledge about handling problems of alkaline soils as well as (2) providing appropriate techniques to farmers for managing their own businesses. Ban Toey thus became the model village for “sharing happiness” in a region afflicted with alkaline soil problems.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สภาพด่างในดินมากเกินไปลดผลผลิตพืช การลดรายได้เกษตรกรว่าผลผลิตของพวกเขา ใน 2008 เอสซีจีและหน่วยงานภาครัฐ (แห่งชาติศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพ และ กรมพัฒนาที่ดิน) ที่สองเกิดขึ้นโครงการเพื่อรับมือกับปัญหาดินเค็มในภาคอีสาน พวกเขามีวิจัยพันธุ์ข้าวและพืชเงินสดที่สามารถเติบโตได้ดีในดินด่าง เกษตรกรควรปลูกไม้ไผ่ ไม้ยูคาลิปตัส มะขามมะนิลา และสยาม ต้นสะเดา เช่น และถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของการใช้ดินอินทรีย์และพืชยืนต้น เป็นผล คุณภาพดินดีขึ้นในเชียงรายมากกว่า 42,000 คนในหมู่บ้าน 72 ที่ใช้จะได้รับจากดินด่าง เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวจากมากไปน้อยกว่า 200 กิโลกรัมระหว่าง 400 และ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่เพิ่มขึ้น เกษตรกรในพื้นที่เหล่านี้สร้างเครือข่ายสำหรับการแบ่งปันความรู้เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับดินเค็มและวิธีการรับมือกับมัน ตั้งแต่ นั้นมา ร่วมกับ "กลุ่มครู" 59 ศูนย์การศึกษาชาวนามีการสร้างใน 17 จังหวัดทั่วภาคอีสาน กับสมาชิกกว่า 4,000 ครัวเรือนนอกจากนี้ เกษตรกรเริ่มปลูกเห็ด เก็บรวบรวมมูลสัตว์สำหรับปุ๋ย และผลิตผัก ในระหว่างกิจกรรมอื่น ๆ จึงเพิ่มรายได้ และลดภาระหนี้ครัวเรือนของพวกเขาในระยะยาว เอสซีจีมีความหวังสูงที่เกษตรกรไทยจะสามารถพึ่งพาทรัพยากรของตนเอง พวกเขาต้องเข้าใจเพียงพอของหลักการบริหารธุรกิจและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของพวกเขาเพื่อเพิ่มรายได้ก่อนตัวอย่างที่ดีของการสร้างรายได้โครงการผ่านโครงการในชุมชนและความรู้ร่วมกันแล้วมีอยู่ มีโรงสีข้าวชุมชนในบ้านปอนสูง จ.อุดรธานี องค์กรปุ๋ยอินทรีย์ในบ้านคลองเตย จังหวัดนครราชสีมา และกลุ่มชาวสวนผักอินทรีย์ในบ้านห้องใหญ่ จังหวัดขอนแก่นใน 2007 ศูนย์การเรียนรู้ "ภูมิปัญญาการเจริญเติบโต แบ่งปันความสุข" ถูกก่อตั้งขึ้นที่บ้านคลองเตยเหนือ ในตำบล Krabuangyai อำเภอ Pimai จังหวัดนครราชสีมา (1) แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการจัดการปัญหาของดินด่าง เป็น (2) ให้เทคนิคที่เหมาะสมกับเกษตรกรในการจัดการธุรกิจของตนเอง มพุเตยบ้านจึงกลายเป็น หมู่บ้านจำลองสำหรับ "การแบ่งปันความสุข" ในภูมิภาคที่ทรมานกับปัญหาดินเค็ม

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มากเกินไปเป็นด่างของดินลดลงผลผลิตพืชลดรายได้ของเกษตรกรจากการเก็บเกี่ยวของพวกเขา ในปี 2008 เอสซีจีและหน่วยงานภาครัฐทั้งสอง (แห่งชาติศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพและกรมพัฒนาที่ดิน) สร้างโครงการแก้ไขปัญหาดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พวกเขาวิจัยพันธุ์ข้าวและพืชเศรษฐกิจที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่เป็นด่าง เกษตรกรในท้องถิ่นได้รับคำแนะนำให้ปลูกไม้ไผ่ยูคา, มะขามเทศและสะเดาสยามต้นไม้ตัวอย่างและได้รับการแนะนำให้รู้จักกับประโยชน์ของการใช้อินทรียวัตถุในดินและพืชยืนต้น เป็นผลให้การปรับปรุงคุณภาพดินในกว่า 42,000 ไร่ใน 72 หมู่บ้านที่เคยประสบจากดินอัลคาไลน์ เกษตรกรก็สามารถที่จะเพิ่มผลผลิตข้าวอย่างมากจากน้อยกว่า 200 กิโลกรัมระหว่าง 400 และ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เกษตรกรในพื้นที่เหล่านี้ได้สร้างเครือข่ายสำหรับการแบ่งปันความรู้เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับดินด่างและวิธีการที่จะรับมือกับมัน ตั้งแต่นั้นมาในความร่วมมือกับ "กลุ่มกูรู" ศูนย์การศึกษา 59 เกษตรกรได้รับการก่อตั้งขึ้นใน 17 จังหวัดทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสมาชิกจากกว่า 4,000 ครัวเรือน

นอกจากนี้เกษตรกรได้เริ่มต้นการเจริญเติบโตของเห็ดเก็บมูลสัตว์ปุ๋ยและการผลิตผักในกิจกรรมอื่น ๆ จึงช่วยเพิ่มรายได้และลดภาระหนี้ครัวเรือนของพวกเขา

ในระยะยาว, เอสซีจีมีความหวังสูงว่าเกษตรกรไทยจะกลายเป็นสามารถที่จะพึ่งพาทรัพยากรของตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความเข้าใจที่เพียงพอของหลักการการจัดการธุรกิจและวิธีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของพวกเขาเพื่อเพิ่มรายได้ของพวกเขา

ตัวอย่างที่ดีของโครงการสร้างรายได้ผ่านโครงการชุมชนและการแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่แล้ว พวกเขารวมถึงโรงสีข้าวชุมชนบ้านโพนสูงจังหวัดอุดรธานี; องค์กรปุ๋ยอินทรีย์บ้านเขตคลองเตยจังหวัดนครราชสีมา; และกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ผักป๋วยบ้านหาดใหญ่จังหวัดขอนแก่น

ในปี 2007, "ปัญญาการเจริญเติบโตของการแบ่งปันความสุข" ศูนย์การเรียนรู้ได้ก่อตั้งขึ้นที่บ้านคลองเตยตำบล Krabuangyai ของพิมายจังหวัดนครราชสีมาสำหรับ (1) การแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการจัดการปัญหาของดินเป็นด่างเช่นเดียวกับ (2) การให้บริการที่เหมาะสม เทคนิคให้กับเกษตรกรในการบริหารจัดการธุรกิจของตัวเอง บ้านเตยจึงกลายเป็นหมู่บ้านแบบจำลองสำหรับการ "แบ่งปันความสุข" ในพื้นที่ทรมานกับปัญหาดินอัลคาไลน์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ความเป็นด่างของดินมากเกินไปลดผลผลิต ลดเกษตรกรรายได้จากการเก็บเกี่ยวของพวกเขา ใน 2008 , SCG และ 2 หน่วยงาน ( ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และกรมพัฒนาที่ดิน ) จัดตั้งโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พวกเขาวิจัยพันธุ์ข้าวและพืชเศรษฐกิจที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่เป็นด่าง เกษตรกรได้รับคำแนะนำให้ปลูกไผ่ ยูคาลิปตัส มะขาม มะนิลา และสะเดาต้นไม้ เช่น และรู้จักกับประโยชน์ของการใช้อินทรีย์วัตถุในดิน และไม้ยืนต้น พืช เป็นผลให้คุณภาพของดินดีขึ้นกว่า 42 , 000 ไร่ 72 หมู่บ้านที่เคยประสบจากดินด่าง เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้เป็นคุ้งเป็นแควจากน้อยกว่า 200 กก. ระหว่าง 400 และ 1 , 000 กิโลกรัมต่อไร่ เกษตรกรในพื้นที่เหล่านี้ได้สร้างเครือข่ายสำหรับการแบ่งปันความรู้ เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องดินเค็ม และวิธีที่จะรับมือกับมัน ตั้งแต่นั้นมา ในความร่วมมือกับ " กลุ่ม " กูรู ศูนย์การศึกษา 59 ไร่ได้รับการจัดตั้งขึ้นใน 17 จังหวัดทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสมาชิกจากกว่า 4 , 000 ครัวเรือนนอกจากนี้ เกษตรกรได้เริ่มปลูกเห็ดเก็บมูลสัตว์และปุ๋ยสำหรับการผลิตผัก ระหว่างกิจกรรมอื่น ๆ จึงช่วยเพิ่มรายได้และลดภาระหนี้ครัวเรือนของตนเองในระยะยาว โดยมีความหวังสูงว่า ชาวนาไทยก็จะสามารถพึ่งพาทรัพยากรของตนเอง พวกเขาต้องได้รับความเข้าใจที่เพียงพอในการบริหารจัดการธุรกิจ และวิธีการที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของพวกเขาเพื่อเพิ่มรายได้ของพวกเขาตัวอย่างที่ดีของการสร้างรายได้ของโครงการริเริ่มของชุมชนผ่านการแบ่งปันความรู้และมีอยู่ พวกเขารวมถึงชุมชนโรงสี บ้านโพนสูง จังหวัดอุดรธานี ; บริษัท ปุ๋ยอินทรีย์ บ้านเตย จังหวัดนครราชสีมา และผักอินทรีย์ กลุ่มเกษตรกรบ้านป๋วย ใหญ่ จังหวัดขอนแก่นใน 2007 , " ปลูกปัญญา ร่วมกันก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ความสุข " ณ บ้านเตย ตำบล krabuangyai ของอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา สำหรับ ( 1 ) การแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการจัดการปัญหาของดินด่าง รวมทั้ง ( 2 ) เทคนิคที่เหมาะสมเพื่อให้เกษตรกรในการจัดการธุรกิจของพวกเขาเอง บ้านเตยจึงกลายเป็นโมเดลหมู่บ้าน " แบ่งปันความสุข " ในพื้นที่ประสบกับปัญหาดินเค็ม