The tax changes that occurred in th

The tax changes that occurred in the tax reform of 1987 affected the tax cost of
charitable giving. The move from a deduction system to a tax credit system was a
major change in tax philosophy. Furthermore, permitting all taxpayers who gave
more than $250 in donations to receive the tax credit at the highest federal tax rate
gave low-income taxpayers a greater reduction of taxation than the pre-reform
system would have done. This is called the superdeduction.
Initial results show that taxpayers increased their actual charitable giving from
1986 to 1988 for all deciles other that the first and tenth deciles. There were
significant increases in the level of donations from 1986 to 1992 for taxpayers in
all deciles. Relative results, taking into account inflation, percentage of after-tax
income or percentage of donations over $250, showed a somewhat less certain
picture. Comparing the results shown in Tables 2–4, it seems that an increase in
income has a corresponding increase in charitable giving, but to a much smaller
degree. This may be due to taxpayers giving similar amounts from year to year,
as anecdotal evidence suggests.
In the low income groups (deciles 1 and 2), the taxpayers in decile 1 generally
had relative decreases in giving. This was contrary to the a priori expectations,
which was that they would increase their giving to take advantage of the
superdeduction. This result does lend some support to the findings of Ricketts
and Westfall (1993). The taxpayers in decile 2 increased their charitable giving
amounts even when the figures were adjusted for inflation. This is in line with
the predictions. The results, however, for the percentage of after-tax income or
the percentage of giving over $250 did not show any significant increase. Perhaps
only those low-income taxpayers who had relatively higher-income increased
their charitable giving, but not as much as would have been expected.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

The tax changes that occurred in the tax reform of 1987 affected the tax cost ofcharitable giving. The move from a deduction system to a tax credit system was amajor change in tax philosophy. Furthermore, permitting all taxpayers who gavemore than $250 in donations to receive the tax credit at the highest federal tax rategave low-income taxpayers a greater reduction of taxation than the pre-reformsystem would have done. This is called the superdeduction.Initial results show that taxpayers increased their actual charitable giving from1986 to 1988 for all deciles other that the first and tenth deciles. There weresignificant increases in the level of donations from 1986 to 1992 for taxpayers inall deciles. Relative results, taking into account inflation, percentage of after-taxincome or percentage of donations over $250, showed a somewhat less certainpicture. Comparing the results shown in Tables 2–4, it seems that an increase inincome has a corresponding increase in charitable giving, but to a much smallerdegree. This may be due to taxpayers giving similar amounts from year to year,as anecdotal evidence suggests.In the low income groups (deciles 1 and 2), the taxpayers in decile 1 generallyhad relative decreases in giving. This was contrary to the a priori expectations,which was that they would increase their giving to take advantage of thesuperdeduction. This result does lend some support to the findings of Rickettsและ Westfall (1993) ผู้เสียภาษีใน decile 2 เพิ่มให้การกุศลยอดเงินเมื่อมีปรับตัวเลขเงินเฟ้อ โดยสอดคล้องกับคาดคะเน ผล อย่างไรก็ตาม สำหรับเปอร์เซ็นต์ของรายได้ after-tax หรือเปอร์เซ็นต์การให้เกิน $250 ไม่แสดงใด ๆ เพิ่ม บางทีเฉพาะเหล่าแนซ์ผู้เสียภาษีที่มีค่อนข้างสูงรายได้เพิ่มขึ้นให้กุศลของพวกเขา แต่เป็นไม่มากจะได้รับที่คาดไว้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การเปลี่ยนแปลงภาษีที่เกิดขึ้นในการปฏิรูปภาษีปี 1987 ได้รับผลกระทบค่าใช้จ่ายภาษีของ
บริจาคเพื่อการกุศล ย้ายจากระบบไปยังระบบการหักเครดิตภาษีเป็น
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปรัชญาภาษี นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ผู้เสียภาษีทุกคนที่ให้
มากกว่า $ 250 ในการบริจาคจะได้รับเครดิตภาษีที่รัฐบาลกลางอัตราภาษีสูงสุด
ให้ผู้เสียภาษีที่มีรายได้ต่ำลดลงมากขึ้นของการจัดเก็บภาษีกว่าการปฏิรูปก่อน
ระบบจะทำ นี้เรียกว่า superdeduction.
ผลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าผู้เสียภาษีที่เพิ่มขึ้นให้การกุศลของพวกเขาเกิดขึ้นจริงจาก
การ 1986 1988 สำหรับ deciles อื่น ๆ ทั้งหมดที่ deciles แรกและหนึ่งในสิบ มี
การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระดับของการบริจาค 1986-1992 สำหรับผู้เสียภาษีใน
deciles ทั้งหมด ผลญาติโดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อร้อยละของหลังหักภาษี
รายได้หรือร้อยละของเงินบริจาคมากกว่า $ 250, แสดงให้เห็นค่อนข้างน้อยบาง
ภาพ การเปรียบเทียบผลที่แสดงในตารางที่ 2-4 ดูเหมือนว่าการเพิ่มขึ้นของ
รายได้ที่มีการเพิ่มขึ้นที่สอดคล้องกันในการกุศลให้ แต่จะมีขนาดเล็กมาก
ระดับ นี้อาจจะเป็นเพราะผู้เสียภาษีให้จำนวนเงินที่คล้ายกันจากปีที่ปี
เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็น.
ในกลุ่มรายได้ต่ำ (deciles ที่ 1 และ 2) ผู้เสียภาษีในช่วงชั้นที่ 1 โดยทั่วไป
มีการลดลงของญาติในการให้ นี่เป็นตรงกันข้ามกับความคาดหวังเบื้องต้น,
ซึ่งเป็นว่าพวกเขาจะเพิ่มให้พวกเขาที่จะใช้ประโยชน์จาก
superdeduction ผลที่ได้นี้จะให้ความช่วยเหลือบางอย่างเพื่อให้ผลการวิจัยของ Ricketts
และเวสท์ (1993) ผู้เสียภาษีในช่วงชั้นที่ 2 เพิ่มขึ้นให้การกุศลของพวกเขา
แม้ในขณะที่มีจำนวนตัวเลขที่มีการปรับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสอดคล้องกับ
การคาดการณ์ ผล แต่สำหรับร้อยละของรายได้หลังหักภาษีหรือ
อัตราร้อยละของการให้มากกว่า $ 250 ไม่ได้แสดงใด ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บางทีอาจจะเป็น
เพียงผู้เสียภาษีที่มีรายได้ต่ำที่มีค่อนข้างสูงกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น
ให้การกุศลของพวกเขา แต่ไม่มากเท่าที่จะได้รับการคาดหวัง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภาษีปฏิรูป 1987 มีผลต่อภาษีต้นทุน
งานการกุศลเพื่อหารายได้ ย้ายจากระบบหักให้ระบบเครดิตภาษีคือ
เปลี่ยนหลักปรัชญาในภาษี นอกจากนี้ การอนุญาตให้ผู้เสียภาษีทั้งหมดให้
มากกว่า $ 250 ในการบริจาคจะได้รับเครดิตภาษีได้ในอัตราสูงสุดของภาษี
ให้ผู้เสียภาษีผู้มีรายได้มากกว่าการลดภาษีกว่าก่อนการปฏิรูป
ระบบจะทำ นี้เรียกว่า superdeduction .
ผลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้นจริง งานการกุศลเพื่อหารายได้จาก
1986 1988 สำหรับภูมิภาคอื่น ๆที่ เดไซล์สิบแรกและ . มี
เพิ่มขึ้นอย่างมากในระดับของบริจาคจาก 2529 ถึง 2535 สำหรับผู้เสียภาษีใน
ทุกภูมิภาค .ผลลัพธ์สัมพัทธ์ ถ่ายเข้าไปในบัญชีอัตราเงินเฟ้อร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ของรายได้จากภาษี
บริจาคมากกว่า $ 250 , แสดงภาพค่อนข้างน้อยกว่าแน่นอน

การเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่แสดงในรูปตาราง 2 – 4 ดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้น
รายได้ได้เพิ่มขึ้นสอดคล้องกันในงานการกุศลเพื่อหารายได้ แต่ในระดับขนาดเล็กมาก

นี้อาจจะเนื่องจากผู้เสียภาษีให้ในปริมาณที่คล้ายกันจากปีที่ปี
ตามหลักฐานชี้ให้เห็น .
ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ( ภูมิภาค 1 และ 2 ) , หรือในดีกรี 1 โดยทั่วไป
ได้ลดลง ญาติในการให้ นี้ตรงกันข้ามกับ priori ความคาดหวัง
ซึ่งที่พวกเขาจะเพิ่มให้ใช้ประโยชน์จาก
superdeduction . ผลที่ได้นี้ไม่ยืมสนับสนุนผลของริกเก็ตส์
Westfall และ ( 1993 )ผู้เสียภาษีในดีกรี 2 ) ของการกุศลให้
ยอดแม้ตัวเลขที่ปรับอัตราเงินเฟ้อ นี้จะสอดคล้องกับการคาดการณ์
. ผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับเปอร์เซ็นต์หลังภาษีเงินได้หรือ
เปอร์เซ็นต์ให้มากกว่า $ 250 ไม่แสดงใด ๆที่สำคัญเพิ่มขึ้น บางที
เฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้เสียภาษีที่มีรายได้ค่อนข้างสูงเพิ่มขึ้น
ของพวกเขาเพื่อการกุศลให้ แต่ไม่เท่าที่จะคาดหวัง