ยุคทอง 58 ‘8 อาชีพ 8 อุตสาหกรรม’
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีเศษ เมื่อ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ “เออีซี” รวมกันเป็นรูปธรรมในปี 2558 จะนำมาทั้งโอกาส และความท้าทายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบประเทศ หรือภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ปรับก่อน ได้เปรียบ ถ้าไม่ปรับ ก็ลำบาก
เมื่อเริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2559 คนพม่า ลาว เวียดนาม จะเดินทางเข้าออกประเทศไทยสะดวกสบายมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น เช่นเดียวกับแรงงานไทยที่สามารถเดินทางเข้าออกประเทศอาเซียนได้ง่ายขึ้น โดยเบื้องต้นอนุญาตให้ 8 อาชีพ สามารถหางานทำในกลุ่มประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีและถูกกฎหมาย
8 สาขาวิชาชีพดังกล่าว ประกอบ ด้วย 1.งานวิศวกรรม 2.งานพยาบาล 3.งานสถาปัตยกรรม 4.งานการสำรวจ 5.งานแพทย์ 6.งานทันตแพทย์ 7.งานบัญชี และ 8.การบริการ/การท่องเที่ยว เท่ากับว่าใครก็ตามเรียนมาในสาย 8 วิชาชีพนี้จะมีโอกาสดีที่จะสมัครงานในประเทศไหนก็ได้ใน 10 ประเทศอาเซียน ที่ให้ค่าจ้างและสวัสดิการดีกว่า
ทว่า! ในทางกลับกันก็เป็นจุดอ่อนสำหรับแรงงานที่ไม่มีความพร้อม เช่น พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือฝีมือไม่ดีพอ ก็อาจถูกชาวต่างชาติเข้ามาแย่งงานทำได้
หนึ่งในธุรกิจที่จำเป็นต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวคือธุรกิจการโรงแรม
เนื่องจากมีโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กกำลังจะเปิดตัวอีกนับพันแห่ง เจ้าของโรงแรมเหล่านี้ยอมรับว่าอาจจำเป็นต้องนำเข้าแรงงานจาก CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) เพราะขาดแคลนคนไทย
และปัญหาในกลุ่มธุรกิจโรงแรมคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการโรงแรมอย่างแท้จริง เพราะประเทศไทยยังเปิดการเรียนการสอนด้านการโรงแรมน้อยมาก ในขณะเดียวกันผู้ที่เรียนจบการโรงแรมมาร้อยละ 90 จะเน้นทำธุรกิจมัคคุเทศก์มากกว่าการทำงานในโรงแรม ทำให้หลายโรงแรมต้องใช้เด็ก ฝึกงานมาทำงานแทนมืออาชีพ เมื่อเปิดประชาคมอาเซียนเชื่อว่าจะมีการนำเข้าแรงงานจากอาเซียนจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานจากกลุ่มประเทศ CLMV เนื่องจากค่าแรงของประเทศไทยดีกว่า ปัจจุบันค่าแรงพนักงานโรงแรมหน้าฟร้อนท์ใน สปป.ลาวจบระดับปริญญาตรีอัตราจ้าง 6,000 บาท เมียนมาร์ 4,500 บาท ในขณะที่ประเทศไทย 9,000 บาท โดยในปี 2558 จะมีการสอบมาตรฐานแรงงานในอาเซียน เมื่อสอบผ่านจะได้รับใบรับรอง ผู้ที่มีใบประกาศดังกล่าวสามารถเข้ามาทำงานกับโรงแรมที่ไหนก็ได้ในประเทศ ไทย ซึ่งคนในกลุ่มประเทศ CLMV มีความได้เปรียบด้านภาษาอังกฤษ ถ้าคนไทยไม่มีพัฒนาการด้านการศึกษา ก็อาจถูกแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV แย่งงานโรงแรมไปหมด
ซึ่งการเข้ามาของแรงงานเพื่อนบ้านหลังการเป็น เออีซี ย่อมมีสิทธิพิเศษมากกว่าก่อนเป็นเออีซีอย่างเห็นได้ชัด ได้รับการคุ้มครองเทียบเท่าแรงงานไทยทุกประการ
ก่อนหน้านี้ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานก็เคยนำเสนอแนวความคิดก่อตั้ง “กองแรงงานอาเซียน” เพื่อรองรับการเปิดเสรีเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือในอาเซียน พร้อมเสนอแก้กฎหมาย 5 ฉบับที่อยู่ในการดูแลของ กระทรวงแรงงาน ได้แก่ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 รวมทั้งจะต้องแก้ไขกฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในไทยได้ใน 147 อาชีพ ส่งผลให้อาชีพที่เคยสงวนไว้ให้คนไทยทำงาน 39 อาชีพ เช่น ช่างตัดผม งานแกะสลักไม้ งานเจียระไน งานมัคคุเทศก์ ฯลฯ จะต้องถูกยกเลิกไป
รวมทั้ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 เพื่อให้การพัฒนาฝีมือแรงงานครอบคลุมถึงชาวต่างชาติ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 เพื่อให้ชาวต่างชาติได้รับการคุ้มครองในสวัสดิการต่างๆและจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ และพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ให้มีการขยายประกันสังคมมาตรา 40 ให้ครอบคลุมถึงชาวต่างชาติ
แรงงานไทยจึงต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยน แปลงที่จะเกิดขึ้น สร้างทักษะฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งต้องยอมรับว่าแรงงานไทยมีจุดอ่อนในเรื่องของภาษาต่างประเทศ โดยตามข้อตกลงของเออีซีให้ใช้ภาษากลาง คือ ภาษาอังกฤษ และควรมีทักษะภาษาของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย
อย่างไรก็ตาม ใน 8 วิชาชีพดังกล่าวนั้น ฝีมือแรงงานไทยไม่เป็นรองใคร อาจจะดีกว่าชาติอื่นด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น การเปิดเสรี 8 อาชีพดังกล่าว ถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อม ก็น่าจะมีโอกาสดีกว่าแรงงานชาติอื่น เป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างน่าอิจฉาทีเดียว แต่อาชีพอื่นก็อย่าเพิ่งน้อย ใจ เพราะเขาจะทยอยเปิดเสรีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหมดทุกอาชีพ แน่นอนว่าใครปรับตัวก่อนก็รวยก่อน แต่ถ้าใครปรับตัวไม่ได้ หรือ ปรับตัวช้า ก็จะเสียโอกาสให้คนอื่นอย่างน่าเสียดาย
นอกจากยุคทองของ 8 อาชีพแล้ว ยังเป็นยุคทองของ 8 สินค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดสินค้าเป้าหมายที่จะผลักดันเข้าสู่ตลาดเออีซีจำนวน 8 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ ท่องเที่ยว สุขภาพ/ความงาม วัสดุก่อสร้าง แฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องจักรกล
เป็น 8 กลุ่มสินค้านำร่อง ก่อนจะขยายไปในกลุ่มอื่นๆ ต่อไป
สาเหตุที่กระทรวงพาณิชย์เลือกสินค้า 8 กลุ่มนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินค้าที่ไทยมีขีดความสามารถแข่งขัน และควรที่จะผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากเออีซีอย่างเต็มที่
ยกตัวอย่างเช่น การผลิตสินค้าฮาลาลขายในตลาด ที่ผ่านมาอาจต้องนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศมาเลเซีย เสียเวลา เสียค่าขนส่ง ก็อาจมีแผนใช้มาเลเซียเป็นฐานการผลิต เข้าไปตั้งโรงงานที่นั่น จะลงทุนเองหรือร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นที่เคยส่งวัตถุดิบให้ก็แล้วแต่ความเหมาะสม ตรงนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก
หรือการผลิตสิ่งทอ อาจย้ายฐานการผลิตเข้าไปในประเทศ CLMV ที่มีความได้เปรียบเรื่องค่าจ้างแรงงาน ซึ่งสมัยก่อนการเข้าไปลงทุนเป็นเรื่องลำบาก แต่ปัจจุบันง่ายขึ้นมาก แม้กระทั่งเมียนมาร์ก็ประกาศปรับปรุงกฎหมายลง ทุนฉบับใหม่ เปิดกว้างสำหรับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เช่น เปิดทางให้ต่างชาติลงทุนได้ 100% โดยไม่จำเป็นต้องจับมือกับหุ้นส่วนในเมียนมาร์ (ยกเว้นอุตสาหกรรมบางสาขา)
หรืออุตสาหกรรมสาขาไหนที่อาเซียนผลิตแข่งขันกันเอง ขายตัดราคากัน ก็มาคุยกันว่าจัดตั้งเป็นคลัสเตอร์อาเซียนร่วมกันดีไหม เช่น เฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่ง แบ่งกันไปเลยว่าใครผลิตสินค้าต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ไม่ต้องแย่งกันทำ แย่งกันขาย เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน
เออีซีคือการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนาดกลางและ