Theoretical Framework The theoretic

Theoretical Framework The theoretical framework of this study was guided by the principle that teacher instruction in science can be improved with sustained, embedded professional development that mirrors what teachers are expected to do in an inquiry-based curriculum grounded in real-world problems. The National Research Council (NRC) recommended that all Kthrough eighth-grade teachers experience sustained science-specific professional development in teacherpreparation and in-service programs (Duschl et al., 2007). As recommended by the NRC, teacher leaming should focus on (a) developing science content knowledge using the classroom-adopted science curriculum, (b) providing demonsfrations of how students leam science, (c) providing examples of integrating technology into the science curriculum, and (d) modeling what the teacher will actually teach in the classroom. Moreover, professional development for elementary science teachers should be embedded in the context of a real-world classroom, and take into account teachers' concems, their need for resources, and their current knowledge and skills (Bitan-Friedlander, Dreyfus, & Milgrom 2004; Buczynksi & Hansen, 2010).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กรอบทฤษฎีกรอบทฤษฎีของการศึกษานี้แนะนำ โดยหลักการที่สามารถพัฒนาครูสอนวิทยาศาสตร์กับยั่งยืน การพัฒนาอาชีพที่สะท้อนอะไรครูจะต้องทำในหลักสูตรที่ใช้สอบถามเหตุผลในการปัญหา ที่ฝังตัว สภาวิจัยแห่งชาติ (NRC) แนะนำว่า อาจารย์เกรดแปด Kthrough ทุกประสบการณ์พัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนวิทยาศาสตร์เฉพาะใน teacherpreparation และโปรแกรมในการให้บริการ (Duschl et al. 2007) แนะนำ โดยอเดือน leaming ครูควรโฟกัส (ก) พัฒนาวิทยาศาสตร์เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรมาเรียนวิทยาศาสตร์, (ข) ให้ demonsfrations ของวิธีวิทยาศาสตร์นักแหลม, (c) ให้ตัวอย่างของการบูรณาการเทคโนโลยีในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ และ (d) โมเดลอะไรครูจริง ๆ สอนในห้องเรียน นอกจากนี้ พัฒนาอาชีพสำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาควรฝังในบริบทของห้องเรียนจริง และเป็น concems บัญชีครู ต้องการสำหรับทรัพยากร และปัจจุบันความรู้ และทักษะ (บิทาน Friedlander เดรย์ และ Milgrom 2004 Buczynksi และแฮนเซน 2010)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กรอบทฤษฎีกรอบทางทฤษฎีของการศึกษาครั้งนี้ได้รับการแนะนำโดยหลักการที่ว่าการเรียนการสอนของครูในด้านวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาอาชีพที่ฝังตัวที่กระจกสิ่งที่ครูคาดว่าจะทำในหลักสูตรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาโลกแห่งความจริง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (NRC) ขอแนะนำให้ทุก Kthrough ประสบการณ์ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่แปดอย่างยั่งยืนในการพัฒนาอาชีพทางวิทยาศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงใน teacherpreparation และในการให้บริการโปรแกรม (Duschl et al., 2007) ตามคำแนะนำของอาร์ซีครู Leaming ควรมุ่งเน้น (ก) การพัฒนาความรู้ในเนื้อหาวิทยาศาสตร์โดยใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ห้องเรียนบุญธรรม (ข) ให้ demonsfrations ของวิธีการที่นักเรียนแหลมวิทยาศาสตร์ (ค) การให้ตัวอย่างของการบูรณาการเทคโนโลยีในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และ (ง) การสร้างแบบจำลองสิ่งที่ครูจริงจะสอนในห้องเรียน นอกจากนี้การพัฒนาอาชีพสำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาควรจะฝังตัวอยู่ในบริบทของการสอนในชั้นเรียนจริงของโลกและใช้เวลาในการ concems ครูบัญชี 'ความต้องการของพวกเขาสำหรับทรัพยากรและความรู้ในปัจจุบันของพวกเขาและทักษะ (Bitan-ฟรีดแลนเด, เดรย์ฟั & มิลกรอม 2004 ; Buczynksi & แฮนเซน, 2010)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กรอบทฤษฎีเป็นกรอบทฤษฎีของการศึกษานี้เป็นแนวทาง โดยหลักการที่สอน ครูวิทยาศาสตร์ สามารถปรับปรุงได้ ด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน , ที่ฝังตัวมืออาชีพกระจกสิ่งที่ครูที่คาดว่าจะทำในการสอบถามตามหลักสูตรกักบริเวณในปัญหาที่แท้จริงของโลก สภาวิจัยแห่งชาติ ( NRC ) แนะนำให้ kthrough เกรดครูวิทยาศาสตร์มืออาชีพ ประสบการณ์ในการพัฒนาโปรแกรมเฉพาะทางและ teacherpreparation ประจำการ ( duschl et al . , 2007 ) ตามที่แนะนำโดย NRC , ครูการเรียนควรเน้น ( ก ) การพัฒนาเนื้อหาความรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้ห้องเรียนประกาศใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ ( ข ) การให้ demonsfrations ว่านักเรียนเรียนรู้วิทยาศาสตร์ , ( C ) ให้ตัวอย่างของการบูรณาการเทคโนโลยีในหลักสูตรวิทยาศาสตร์และ ( d ) การสร้างแบบจำลองสิ่งที่ครูจะสอนในชั้นเรียน นอกจากนี้ การพัฒนาครูวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา ควรฝังอยู่ในบริบทจริงในชั้นเรียน และครูบัญชีใน concems ต้องการของพวกเขาสำหรับทรัพยากร และความรู้และทักษะของพวกเขา ( bitan เกอร์เดรย์ฟัส และ milgrom , 2004 ; buczynksi & แฮนเซน , 2010 )