After Texas joined the United State

After Texas joined the United States in 1846, a boundary dispute broke out almost immediately between the United States and Mexico, the country from which Texas had won its independence a decade earlier. The U.S. said the southern boundary of the state should be the Rio Grande, which was further south of the original boundary set by the Nueces River. On April 25, 1846, after the U.S. cavalry ignored an order from the Mexican army to retreat to the Nueces River and instead advanced south to the Rio Grande, fighting broke out. Three weeks later, Congress declared war on Mexico.

Fighting continued for more than a year, and ended in September 1847. In February 1848, the two countries signed the Treaty of Guadalupe-Hidalgo. The treaty recognized Texas as a U.S. state, and ceded a large chunk of land — about half the area that belonged to the Mexican republic — to the United States for the cost of $15 million. The Mexican Cession included land that would later become California, Nevada, and Utah, as well as portions of Arizona, New Mexico, Colorado, and Wyoming.

The treaty also stated that Mexicans who remained in the state would be permitted to become U. S. citizens, and that they would be allowed to keep their property. However, the treaty was never fully honored. In the decades following the signing of the treaty, Mexican-Americans were stripped of nearly 20 million acres of their land by American businessmen, ranchers and railroad companies, as well as by the U.S. Department of the Interior and Department of Agriculture

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

หลังจากที่เท็กซัสร่วมสหรัฐอเมริกาใน 1846 ข้อพิพาทเขตแดนร้องไห้เกือบทันทีระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก ประเทศที่เท็กซัสชนะเอกราชทศวรรษก่อนหน้านั้น สหรัฐอเมริกากล่าวว่า ขอบเขตภาคใต้ของรัฐควรริโอแกรนด์ ที่ถูกเพิ่มเติมจากขอบเขตเดิมที่ตั้งริมแม่น้ำ Nueces บน 25 เมษายน 1846 หลังจากที่ทหารม้าสหรัฐละเว้นสั่งจากกองทัพเม็กซิกันในแม่น้ำ Nueces และใต้ขั้นสูงแทนไปริโอแกรนด์ ต่อสู้ร้องไห้ สามสัปดาห์หลังจาก สภาประกาศสงครามกับเม็กซิโกต่อสู้อย่างต่อเนื่องกว่า ปี และสิ้นสุดในเดือน 1847 กันยายน ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1848 แห่ง ทั้งสองประเทศลงนามในสนธิสัญญาของ Guadalupe-Hidalgo สนธิรู้เท็กซัสเป็นรัฐสหรัฐอเมริกา และรับประกันภัยท่อใหญ่ที่ดิน — ตั้งประมาณครึ่งที่สาธารณรัฐเม็กซิโกเป็นสมาชิก — ไปสหรัฐอเมริกาในต้นทุนของ $15 ล้าน Cession เม็กซิกันรวมที่ดินที่จะเป็นรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาดา และยูทาห์ ตลอดจนบางส่วนของอาริโซน่า นิวเม็กซิโก โคโลราโด และไวโอมิงสนธิสัญญาที่ระบุว่า จะอนุญาต Mexicans ที่ยังคงอยู่ในสถานะเป็น พลเมืองสหรัฐ และว่า พวกเขาจะอนุญาตให้พัก อย่างไรก็ตาม สนธิไม่เต็มอีกด้วย ในทศวรรษที่ผ่านมาตามการลงนามสนธิ เม็กซิกันอเมริกันถูกเปลื้องเกือบ 20 ล้านเอเคอร์ของนักธุรกิจอเมริกัน ranchers และบริษัทรถไฟ เป็น ฝ่ายสหรัฐฯ ภายในและกรมวิชาการเกษตร

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

หลังจากที่เท็กซัสเข้าร่วมในสหรัฐอเมริกาในปี 1846 ซึ่งเป็นเขตแดนพิพาทโพล่งออกมาเกือบจะในทันทีระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกประเทศจากการที่เท็กซัสได้รับรางวัลความเป็นอิสระของทศวรรษที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ สหรัฐกล่าวว่าชายแดนภาคใต้ของรัฐควรจะเป็นโอแกรนด์ซึ่งเป็นไปทางใต้ของเขตแดนเดิมที่กำหนดโดยแม่น้ำเซส เมื่อวันที่ 25 เมษายน 1846 หลังจากที่ทหารสหรัฐไม่สนใจคำสั่งจากกองทัพเม็กซิกันที่จะหนีไปที่แม่น้ำเซสทางตอนใต้และแทนที่จะก้าวเข้าสู่โอแกรนด์ปโพล่งออกมา สามสัปดาห์ต่อมาสภาคองเกรสประกาศสงครามกับเม็กซิโก. การต่อสู้อย่างต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งปีและสิ้นสุดในเดือนกันยายน 1847 ในเดือนกุมภาพันธ์ 1848 ทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญากัวดาลู-อีดัลโก ได้รับการยอมรับสนธิสัญญาเท็กซัสเป็นรัฐของสหรัฐและยกให้เป็นก้อนขนาดใหญ่ของแผ่นดิน - ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่เป็นของสาธารณรัฐเม็กซิกัน - ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับค่าใช้จ่าย 15 $ ล้าน เม็กซิกันยกให้รวมดินแดนที่ต่อมากลายเป็นรัฐแคลิฟอร์เนียเนวาดาและยูทาห์เช่นเดียวกับบางส่วนของรัฐแอริโซนา, New Mexico, โคโลราโดและไวโอมิง. สนธิสัญญายังระบุด้วยว่าชาวเม็กซิกันที่ยังคงอยู่ในสถานะที่จะได้รับอนุญาตให้กลายเป็นพลเมืองสหรัฐ, และพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เก็บทรัพย์สินของพวกเขา แต่การเจรจาก็ไม่เคยได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ ในทศวรรษที่ผ่านมาดังต่อไปนี้การลงนามในสนธิสัญญาเม็กซิกันอเมริกันถูกปลดออกจากเกือบ 20 ล้านไร่ของที่ดินของพวกเขาโดยนักธุรกิจชาวอเมริกันเจ้าของและ บริษัท รถไฟเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกากรมมหาดไทยและกรมวิชาการเกษตร