The first-car rebate scheme was a p

The first-car rebate scheme was a popular policy which helped many Thais realise their dreams of owning their first cars. Over 1.25 million people signed up for the first-car tax rebate scheme between September 2011 and December 2012. But what happened after that?

In an attempt to understand the impact of this scheme on the government’s budget, we have looked at the data and found that it has adversely affected both the government’s revenues and expenses.

The scheme has led to a fall in tax revenue given the decrease in car sales after the promotional policy ended.

The government also needs to pay for ongoing tax returns, which has imposed an extra budget burden.

The finding came from a study for our project called Thai Parliamentary Budget Office (Thai PBO) under the Thailand Development Research Institute.

The project is part of a campaign to set up a research arm in parliament so lawmakers understand better the impact of government policies on the national coffers and strengthen fiscal discipline.

Thai PBO assessed the impact of the policy by analysing the data of registered private car ownership of vehicles with up to seven seats from the Department of Land Transport (DLT).

Car excise value is correlated more closely with the number of private cars alone than the number of the private cars combined with the other types of cars.

In processing the data, we created a model to forecast the number of registered private cars from fiscal year 2012 and in following fiscal years, assuming the first-car tax rebate scheme had not been launched.

This forecasting model was created by using private car registration data between the first quarter of 1993 and the third quarter of 2011.

Thai PBO compared the forecast numbers of registered private cars with the actual number of registered private cars, announced by the government, during the first quarter of 2012 and the first quarter of 2013. The margin between these two numbers illustrates the increase of car sales as a result of the policy.

We also adjusted an increase in the number of car sales which was calculated from the forecasting model to the total number of registrations for car tax rebate which was announced by the director-general of the Excise Department. In adjusting the data, we separated the register number into three categories.

The first category includes people who planned to buy their first car regardless of the government’s scheme. The second category includes people who planned to buy their first cars in the future and decided to purchase their cars during the first-car tax rebate scheme.

And the last category includes people who had not planned to buy a car but eventually decided to buy one because of the rebate. We calculated the number of people in the first category using the proportion between numbers of first registered private cars and total registered private cars in the past. The combined number between the other two groups presented surplus car sales affected by the scheme.

We note, too, that people who have decided to buy their cars earlier because of the scheme contributed to the drop in car sales when the scheme was over. The Thai PBO expects this impact would continue until the second quarter of 2016.

From the data collected, we found the number of private car sales has increased significantly during the scheme period. However, the number dropped by 36% in fiscal year 2014. As a result, the excise value would probably drop by about 7 billion baht in fiscal year 2014 and 2015. The decrease in car excise would also affect overall excise value.

The Thai PBO predicted overall excise value in 2014 would increase by 3.5% from 2013. This forecast number is different from government’s prediction of 7.2%.

Nevertheless, we foresee no significant impact on the value-added tax and corporate income tax.

On the expenditure side, the Excise Department obtained tax from the increase in car sales of 54 billion baht. However, the government had set up 82 billion baht of tax rebates. Thus, the government may lose the difference of 28 billion baht.

In summary, the government may lose approximately 20-30 billion baht from this scheme. We note, however, the positive outcomes from the policy and the impact of the policy on Thailand’s economic growth and the automotive industry should be further assessed.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แผนงานการคืนรถยนต์ครั้งแรกถูกนโยบายยอดนิยมที่ช่วยให้หลายคนตระหนักถึงความฝันของเจ้าของคันแรก กว่า 1.25 ล้านคนที่ลงทะเบียนไว้สำหรับแผนงานการคืนภาษีรถยนต์ก่อนระหว่างกันยายนและ 2555 ธันวาคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นในความพยายามที่จะเข้าใจผลกระทบของโครงร่างนี้ในงบประมาณของรัฐบาล เรามีมองข้อมูล และพบว่า มันมีผลกระทบทั้งรัฐบาลของรายได้และค่าใช้จ่ายแผนงานได้นำไปตกในรายได้ภาษีให้ลดลงในการขายรถยนต์หลังจากการสิ้นสุดนโยบายส่งเสริมการขายรัฐบาลยังจำเป็นต้องจ่ายคืนภาษีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กำหนดเป็นภาระงบประมาณเพิ่มเติมค้นหาที่มาจากการศึกษาในโครงการของเราเรียกว่าไทยรัฐสภางบประมาณสำนักงาน (ไทย PBO) ภายใต้ สถาบันพัฒนาวิจัยโครงการเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญตั้งแขนวิจัยในรัฐสภาเพื่อร่างกฎหมายเข้าใจผลกระทบของนโยบายของรัฐบาลในเงินกองทุนแห่งชาติดีกว่า และเสริมสร้างวินัยทางการเงินPBO ไทยประเมินผลกระทบของนโยบาย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลของเจ้าของรถทะเบียนของยานพาหนะแต่ละจำนวนที่นั่งจากแผนกของที่ดินขนส่ง (ดีแอลที)ค่าภาษีสรรพสามิตรถยนต์ถูก correlated มาก ด้วยจำนวนรถยนต์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียวมากกว่าจำนวนรถยนต์ส่วนตัวร่วมกับชนิดอื่น ๆ ของรถยนต์ในการประมวลผลข้อมูล เราสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์จำนวนรถยนต์จดทะเบียนจากปี 2012 และในปีต่อไปนี้ สมมติว่าแผนคืนภาษีรถยนต์ก่อนก็ไม่ถูกเปิดใช้งานโมเดลการคาดการณ์นี้ถูกสร้างขึ้น โดยใช้ข้อมูลทะเบียนรถระหว่างไตรมาสสามของปี 2554 และไตรมาสแรกของปี 1993PBO ไทยเปรียบเทียบจำนวนรถยนต์จดทะเบียนมีจำนวนจดทะเบียนรถยนต์ ประกาศ โดยรัฐบาล ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2012 และในไตรมาสแรกของปี 2013 จริงการคาดการณ์ ขอบระหว่างสองตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขายรถจากนโยบายนอกจากนี้เรายังปรับเพิ่มจำนวนรถขายที่คำนวณจากแบบจำลองการคาดการณ์ถึงจำนวนรวมของการลงทะเบียนสำหรับเงินคืนภาษีรถยนต์ซึ่งถูกประกาศ โดยอธิบดีกรมสรรพสามิต ในการปรับปรุงข้อมูล เราคั่นเลขทะเบียนออกเป็นสามประเภทประเภทแรกมีคนวางแผนจะซื้อรถของพวกเขาแรกว่าโครงร่างของรัฐบาล ประเภทสองมีคนวางแผนจะซื้อรถยนต์ครั้งแรกของพวกเขาในอนาคต และตัดสินใจที่จะซื้อรถของพวกเขาในระหว่างแผนคืนภาษีรถยนต์ครั้งแรกและประเภทสุดท้ายรวมถึงคนที่ไม่ได้วางแผนจะซื้อรถ แต่ในที่สุดตัดสินใจซื้อ เพราะเงินคืน เราคำนวณจำนวนคนในประเภทแรกที่ใช้สัดส่วนระหว่างจำนวนแรกจดทะเบียนรถยนต์และรถยนต์ส่วนตัวลงทะเบียนทั้งหมดในอดีต หมายเลขรวมกันระหว่าง 2 กลุ่มอื่น ๆ นำเสนอขายรถส่วนเกินที่ได้ผลกระทบจากแผนงานเราทราบ เกินไป ว่า คนที่ตัดสินใจซื้อรถของพวกเขาก่อนหน้านี้เนื่องจากโครงร่าง ส่วนการฝากขายรถยนต์เมื่อได้โครงร่าง PBO ไทยคาดว่า ผลกระทบนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงไตรมาสสองของ 2016จากข้อมูลที่เก็บ เราพบจำนวนขายรถได้เพิ่มขึ้นมากในระหว่างรอบระยะเวลาแผน อย่างไรก็ตาม หมายเลขลดลง 36% ในปี 2014 ดัง ค่าภาษีสรรพสามิตจะคงปล่อยประมาณ 7 พันล้านบาทในปี 2014 และ 2015 สรรพสามิตรถยนต์ที่ลดลงนี้จะมีผลต่อค่าภาษีสรรพสามิตโดยรวมPBO ไทยคาดการณ์โดยรวมค่าภาษีสรรพสามิตในปี 2557 จะเพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2013 คาดการณ์จำนวนจะแตกต่างจากการคาดเดาของรัฐบาล 7.2%อย่างไรก็ตาม เราเล็งเห็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญไม่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลทางด้านรายจ่าย กรมสรรพสามิตได้รับภาษีจากการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ขาย 54 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตั้ง 82 ล้านบาทเงินคืนภาษี ดังนั้น รัฐบาลอาจสูญเสียความแตกต่างของ 28 ล้านบาทในสรุป รัฐบาลอาจสูญเสียประมาณ 20-30 ล้านบาทจากนี้ เรา ทราบ ไร ผลบวกจากนโยบาย และผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ควรถูกประเมินเพิ่มเติม

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

โครงการคืนเงินรถยนต์คันแรกเป็นนโยบายที่เป็นที่นิยมที่ช่วยให้คนไทยหลายคนตระหนักถึงความฝันของพวกเขาในการเป็นเจ้าของรถคันแรกของพวกเขา คน 1,250,000 กว่าลงทะเบียนสำหรับรถยนต์คันแรกโครงการคืนภาษีระหว่างเดือนกันยายนปี 2011 และเดือนธันวาคม 2012 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่? ในความพยายามที่จะเข้าใจผลกระทบของโครงการที่อยู่ในงบประมาณของรัฐบาลนี้ที่เราได้มองไปที่ข้อมูลและพบว่า ว่าได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ทั้งของรัฐบาลและค่าใช้จ่าย. โครงการได้นำไปสู่การล่มสลายในรายได้จากภาษีที่ได้รับการลดลงของยอดขายรถยนต์หลังจากที่นโยบายส่งเสริมการขายสิ้นสุด. รัฐบาลยังต้องการที่จะจ่ายสำหรับการคืนภาษีอย่างต่อเนื่องซึ่งได้กำหนดเป็นพิเศษ ภาระงบประมาณ. การค้นพบนี้มาจากการศึกษาสำหรับโครงการของเราที่เรียกว่าสำนักงบประมาณรัฐสภาไทย (PBO ไทย) ภายใต้การพัฒนาประเทศไทยสถาบันวิจัย. โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ในการตั้งค่าแขนวิจัยในรัฐสภาเพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าใจผลกระทบของ นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเงินกองทุนในระดับชาติและเสริมสร้างวินัยทางการคลัง. ไทย PBO การประเมินผลกระทบของนโยบายโดยการวิเคราะห์ข้อมูลในการเป็นเจ้าของรถส่วนตัวที่ลงทะเบียนของรถที่มีถึงเจ็ดที่นั่งจากกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ค่าภาษีสรรพสามิตรถยนต์มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับจำนวนของรถยนต์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียวกว่าจำนวนของรถยนต์ส่วนตัวรวมกับประเภทอื่น ๆ ของรถยนต์. ในการประมวลผลข้อมูลที่เราได้สร้างแบบจำลองการคาดการณ์จำนวนรถยนต์ส่วนตัวจดทะเบียนจากปี 2012 และในปีต่อไปนี้รอบระยะเวลาบัญชี สมมติว่าโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกไม่ได้รับการเปิดตัว. แบบจำลองการคาดการณ์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ข้อมูลการลงทะเบียนรถส่วนตัวระหว่างไตรมาสแรกของปี 1993 และไตรมาสที่สามของปี 2011. PBO ไทยเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ของรถยนต์ส่วนตัวที่ลงทะเบียนกับ ตัวเลขจริงของรถยนต์ส่วนตัวลงทะเบียนประกาศโดยรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปี 2012 และไตรมาสแรกของปี 2013 ในขณะที่อัตราระหว่างสองคนนี้แสดงให้เห็นถึงตัวเลขเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์เป็นผลมาจากนโยบาย. เราปรับเพิ่มขึ้นใน จำนวนยอดขายรถยนต์ซึ่งถูกคำนวณจากแบบจำลองการคาดการณ์กับจำนวนของการลงทะเบียนสำหรับการคืนเงินภาษีรถยนต์ที่ได้รับการประกาศโดยผู้อำนวยการทั่วไปของกรมสรรพสามิต ในการปรับข้อมูลที่เราแยกออกหมายเลขทะเบียนออกเป็นสามประเภท. ประเภทแรกรวมถึงคนที่มีการวางแผนที่จะซื้อรถคันแรกของพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงรูปแบบของรัฐบาล ประเภทที่สองรวมถึงคนที่วางแผนที่จะซื้อรถครั้งแรกของพวกเขาในอนาคตและตัดสินใจที่จะซื้อรถของพวกเขาในช่วงที่โครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก. และประเภทสุดท้ายรวมถึงคนที่ไม่ได้วางแผนที่จะซื้อรถ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะซื้อ เพราะเงินคืน เราคำนวณจำนวนคนในประเภทแรกที่ใช้สัดส่วนระหว่างตัวเลขของการลงทะเบียนครั้งแรกรถยนต์ส่วนตัวและทุนจดทะเบียนรถยนต์ส่วนตัวในอดีตที่ผ่านมา จำนวนรวมกันระหว่างอีกสองกลุ่มที่นำเสนอยอดขายรถยนต์ส่วนเกินรับผลกระทบจากโครงการ. เราทราบเช่นกันว่าคนที่ได้ตัดสินใจที่จะซื้อรถของพวกเขาก่อนหน้านี้เนื่องจากโครงการส่วนร่วมในการลดลงในการขายรถเมื่อโครงการถูกกว่า PBO ไทยคาดว่าผลกระทบนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงไตรมาสที่สองของปี 2016. จากข้อมูลที่รวบรวมเราพบว่าจำนวนยอดขายรถยนต์ส่วนตัวได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระยะเวลาโครงการ แต่จำนวนลดลง 36% ในปีงบประมาณ 2014 เป็นผลให้ค่าภาษีสรรพสามิตอาจจะลดลงประมาณ 7 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2014 และในปี 2015 การลดลงของภาษีสรรพสามิตรถก็จะมีผลต่อค่าภาษีสรรพสามิตโดยรวม. PBO ไทย คาดการณ์ค่าภาษีสรรพสามิตโดยรวมในปี 2014 จะเพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2013 จำนวนการคาดการณ์นี้จะแตกต่างจากการคาดการณ์ของรัฐบาลที่ 7.2%. อย่างไรก็ตามเราคาดหวังไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคล. ในด้านค่าใช้จ่ายที่ กรมสรรพสามิตได้ภาษีจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์จาก 54 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้จัดตั้ง 82000000000 บาทส่วนลดภาษี ดังนั้นรัฐบาลอาจสูญเสียความแตกต่างที่ 28 พันล้านบาท. โดยสรุปรัฐบาลอาจสูญเสียประมาณ 20-30000000000 บาทจากโครงการนี้ เราทราบ แต่ผลบวกจากนโยบายและผลกระทบของนโยบายในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ควรมีการประเมินต่อไป

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

รถคันแรกคืนโครงการยังนิยมนโยบายที่ช่วยให้คนไทยตระหนักถึงความฝันของการเป็นเจ้าของรถคันแรกของพวกเขา มากกว่า 1.25 ล้านคน ลงทะเบียนสำหรับโครงการคืนภาษีรถคันแรก ระหว่างเดือนกันยายน 2554 ถึงเดือนธันวาคม 2555 แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

ในความพยายามที่จะเข้าใจผลกระทบของโครงการนี้ในงบประมาณของรัฐบาลเราต้องดูที่ข้อมูล และพบว่ามันมีผลกระทบทั้งของรัฐบาล รายได้ และค่าใช้จ่าย

โครงการได้นำไปสู่ตกอยู่ในรายได้ภาษีให้ลดลงในการขายรถยนต์ตามนโยบายส่งเสริมการขายสิ้นสุด

รัฐบาลยังต้องจ่ายภาษีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กำหนดภาระงบประมาณ

พิเศษ .ผลมาจากการศึกษาสำหรับโครงการของเรา เรียกว่า สำนักงานงบประมาณรัฐสภา ไทย ไทย ( สาม ) ภายใต้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย .

โครงการเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่จะตั้งแขนวิจัยในรัฐสภาเพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าใจผลกระทบของนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับทรัพย์สินของชาติและเสริมสร้างวินัยทางการคลัง .

สามไทย และผลกระทบของนโยบาย โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากการลงทะเบียนรถส่วนตัวเจ้าของรถได้ถึง 7 ที่นั่ง จากกรมขนส่งทางบก ( มหาชน )

รถสรรพสามิตค่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจำนวนของรถยนต์ส่วนตัวคนเดียวมากกว่าจำนวนของรถยนต์ส่วนตัวรวมกับประเภทอื่น ๆของรถยนต์

ในการประมวลผลข้อมูลเราสร้างแบบจำลองเพื่อพยากรณ์หมายเลขทะเบียนรถส่วนตัว จากปีงบประมาณ 2555 ตามปีงบประมาณ สมมติว่าโครงการคืนภาษีรถคันแรกไม่ได้ถูกเปิดตัว

นี้ตัวแบบพยากรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ข้อมูลทะเบียนรถยนต์ส่วนบุคคลระหว่างไตรมาสแรกของปี และไตรมาสที่สามของ 2011 .

ไทยเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ตัวเลขสามจดทะเบียนรถยนต์ส่วนตัวกับตัวเลขจริงของรถยนต์ที่จดทะเบียนส่วนบุคคล , ประกาศโดยรัฐบาล ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 และไตรมาสแรกของปี 2013 . ขอบระหว่างตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์สองเป็นผลมาจากนโยบาย .

นอกจากนี้เรายังปรับเพิ่มจำนวนรถขายที่คำนวณได้จากแบบจำลองการพยากรณ์จำนวนรวมของสมาชิกรถภาษีซึ่งได้มีการประกาศโดยอธิบดีกรมสรรพสามิต ในการปรับข้อมูลหมายเลขทะเบียน เราแยกเป็นสามประเภท .

โดยประเภทแรกจะมีผู้ที่วางแผนที่จะซื้อรถคันแรกของพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงรูปแบบของรัฐบาล ประเภทที่สองรวมถึงผู้ที่วางแผนที่จะซื้อรถคันแรกของพวกเขาในอนาคตและตัดสินใจที่จะซื้อรถในโครงการรถคันแรก คืนภาษี

และประเภทสุดท้าย รวมถึงคนที่ไม่ได้วางแผนที่จะซื้อรถ แต่ในที่สุดตัดสินใจที่จะซื้อหนึ่งเพราะการรีเบตเราคำนวณจำนวนคน ในประเภทแรก โดยใช้สัดส่วนระหว่างจำนวนแรกจดทะเบียนรถยนต์ส่วนตัวและยอดจดทะเบียนรถยนต์ส่วนตัวในอดีต จำนวนรวมระหว่างอื่น ๆสองกลุ่มนำเสนอส่วนเกินขายรถยนต์ได้รับผลกระทบจากโครงการ

เราทราบด้วยผู้ที่ได้ตัดสินใจที่จะซื้อรถของพวกเขาก่อนหน้านี้เนื่องจากโครงการสนับสนุนการลดลงในการขายรถยนต์เมื่อโครงการจบ สามไทยคาดว่าผลกระทบนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงไตรมาสที่สองของปี 2016 .

จากข้อมูลเราพบว่ายอดขายรถยนต์ส่วนตัวมีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระยะเวลาโครงการ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขลดลงจาก 36% ในปีงบประมาณ 2557ผลคือ ค่าสรรพสามิตจะลดลงประมาณ 7 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2014 และ 2015 ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จะมีผลต่อค่าสรรพสามิตรวม

คนไทยสามคาดการณ์ค่าสรรพสามิตโดยรวมในปี 2014 จะเพิ่มขึ้น 3.5% จาก 2013 ตัวเลขคาดการณ์นี้จะแตกต่างจากของรัฐบาลการทำนายร้อยละ 7.2 .

อย่างไรก็ตามเราว่าไม่พบผลกระทบต่อภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล

ทางด้านรายจ่าย , กรมสรรพสามิตได้รับภาษีจากการเพิ่มขึ้นในรถขาย 54 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตั้ง 82 ล้านบาท การลดภาษี ดังนั้น รัฐบาลอาจสูญเสียความแตกต่าง 28 พันล้านบาท

สรุปแล้วรัฐบาลอาจสูญเสียประมาณ 20-30 ล้านบาท จากโครงการนี้ เราทราบ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่เป็นบวก จากนโยบายและผลกระทบของนโยบายที่มีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ ควรเพิ่มเติม ประเมิน